กิเลสคือคู่เจรจา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหามาด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ได้มาๆ นี้ ได้มาด้วยอำนาจวาสนาบารมีด้วยการสะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่ได้มามันมีพื้นฐานของมันมา ถ้ามันมีพื้นฐานของมันมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นน่ะสัจธรรมความจริงอันนั้นมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง
คนที่มีอำนาจวาสนามีบารมีขนาดนั้น มันไม่เหมือนพวกเราคนโง่เง่าเต่าตุ่นไง คนโง่เง่าเต่าตุ่น มันก็จับกบจับเขียดเท่านั้นแหละ มันไม่ใช่ไปรู้เรื่องอย่างไรเรื่องมรรค เรื่องผล
ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนไปอดีตชาติไม่มีวันที่สิ้นสุด จุตูปปาตญาณในอนาคตกาลไปไม่มีวันจบวันสิ้น อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าต่างหากที่ทำลายอวิชชา นี่ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ครอบครัวของมารทั้งหลายทั้งสิ้น
ถ้าทั้งหลายทั้งสิ้นมันเป็นความมหัศจรรย์ไง มันเป็นความมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขๆ ถ้าเสวยวิมุตติสุข เห็นไหม พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบและพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เสวยวิมุตติสุขแล้วก็อบรมบ่มเพาะตามอำนาจวาสนาของตนไง ไม่เหมือนกับองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศศาสนา ประกาศศาสนา คำว่า “ประกาศศาสนา” นั้นเพราะต้องมีอำนาจวาสนาบารมี
ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีไง เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ในพระไตรปิฎก เวลาแสดงธัมมจักฯ นี่หัวใจของพระ-พุทธศาสนาไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตต-กิลมถานุโยค ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พวกพราหมณ์ๆ ที่เขาทำของเขา ทุกรกิริยาๆ เนี่ย เขาทำของเขามากมายมหาศาลขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ประพฤติปฏิบัติกับเขามาแล้วทำได้มากกว่าเขาอีกต่างหาก
กามสุขัลลิกานุโยค ในสมัยพุทธกาลมันมีพระที่บอกว่า “ทำอย่างไรก็ได้ เสพกามอย่างใดให้มันเต็มที่อย่างไรก็ได้ ๕๐๐ ชาติก็จบ ๕๐๐ ชาติทำจะเป็นพระอรหันต์” มันจะเป็นพระอรหันต์ไปไหน เพราะแต่ละภพแต่ละชาติได้สร้างเวรสร้างกรรมขนาดไหน เกิดชาติต่อไป คำว่า “๕๐๐ ชาติ” เขาเกิดของเขา ๕๐๐ ชาติ เขาเชื่อของเขาว่าเกิด ๕๐๐ ชาติแล้วทำของเขาอยู่อย่างนั้นจะสิ้นกิเลสของเขาไปกามสุขัลลิกานุโยคมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาเข้าไปทดสอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าไปทดสอบจนหมดจนสิ้นแล้ว มันไม่มีทางออก เห็นไหม
เวลาในทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาประกอบด้วยมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมในการประพฤติปฏิบัติให้เกิดขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง ถ้ามันทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีกิเลสแม้แต่เล็กแต่น้อย มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในธรรมธาตุนะ
ถ้าในหัวใจนี่ภาษาสมมุติ ถ้าสมมุติแล้วสมมุติมันเป็นของคู่ ถ้าของคู่แล้วมันโต้แย้งกัน ถ้าโต้แย้งกันในสัจจะในความจริงของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ พอถึงเวลาที่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺ-ตมํ หลวงปู่มั่นท่านเวลาแก้จิตๆ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ มันเป็นภาษาสมมุติ แต่สมมุติเข้าไปสู่สัจจะความจริงในหัวใจอันนั้น ผู้ที่เป็นความจริงมันเข้าใจได้
แต่ไอ้พวกจับกบจับเขียดเวลาเป็นสมมุติมันก็สมมุติต่อเนื่องไป มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรอก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาตรงไหน ตรงที่มันทำภาวนาไม่เป็น ทำภาวนาไม่เป็นคือไม่มีพื้นฐาน ไม่มีเบสิก ไม่มีการก่อร่างสร้างตัวไม่มีเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน ไม่มีธรรม ไม่มีธรรมไม่มีคุณธรรมไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะความจริงเลย ไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจอันนั้น ถ้าไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจอันนั้น มันเลยเหลวไหลเหลวแหลกไง
แต่ถ้าเป็นความจริงอันนั้นนะ ถ้าเป็นสัจจะความจริงประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ความชอบธรรมอันนั้นเสวยวิมุตติสุขๆ เวลาแสดงธรรมๆ ไง แสดงขึ้นมา ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ได้ยสะบริวารของยสะ ๖๐ องค์ “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”
คำว่า “บ่วงที่เป็นโลก” ดูสิ ดูทางโลก โลกามิสนี่ นักบวชนักปฏิบัติเอาโลกเป็นใหญ่ มารยาสาไถย คำว่า “มารยาสาไถย” ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดพูดจาโกหกมดเท็จจะทำความชั่วอย่างใดๆ ในโลกนี้ไม่ได้เลยทำได้ทั้งสิ้น” ถ้ามันโกหกมดเท็จไง มันไม่มีสัจจะมีความจริงในหัวใจของมัน แล้วมันแสดงไปมันจะเป็นอะไร มันก็เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น โลกามิสต้องการให้เขาเชื่อถือศรัทธา ต้องการให้เขาพะเน้าพะนอต่อตนไง มันเป็นเรื่องอะไรน่ะ
แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ เวลาบวชพระ เอหิภิกขุท่านบวชให้เอง แล้วพอมากขึ้นก็เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นภิกษุเข้ามาได้ สุดท้ายญัตติจตุตถกรรมนี่ไง นี่ไงนิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ เวลาบวชแล้วให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นะขาทันตา ตะโจ เธอจงประพฤติปฏิบัติขึ้นมา รุกฺขมูลฺ-เสนาสนํ เป็นสนามรบ เป็นสนามรบต่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่
แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเป็นสัจจะเป็นความจริง สนามรบคือหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้ามันหาหัวใจของตนขึ้นมา มันจะมีสนามรบ มีสถานที่สัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ถ้าหาสนามรบของตัวเองไม่เจอ มันไม่มีชัยภูมิในการต่อสู้ มันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน มันก็จับเขียดจับกบอยู่นั่นแหละ มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้หรอก แต่เวลาเป็นชิ้นเป็นอันเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” บ่วงที่เป็นโลก สิ่งที่เป็นโลกามิสทั้งหลายนี่บ่วงที่เป็นโลกแล้วไปติดมันอะไร
พระอรหันต์ไม่ทำลายศาสนา ไม่ทำลายความเชื่อมั่น ไม่ทำลายข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันเป็นความจริงในหัวใจของมันอยู่แล้ว พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกแล้วถ้าจากบ่วงที่เป็นทิพย์ล่ะ บ่วงที่เป็นทิพย์มันเห็นได้หมดล่ะ โสดาบัน ๗ ชาติสกิทาคามี อนาคามี ไม่เกิดในกามภพ แล้วเวลาทำลาย ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายจิตเดิมแท้ ทำลายทั้งสิ้นแล้วเป็นพระอรหันต์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เป็นทิพย์นี่มันเข้าใจได้หมดล่ะ
เทวดา อินทร์ พรหม ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เทวดาอินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นแล้วท่านเทศน์เรื่องอะไร เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขาก็รู้ของเขา นี่บ่วงที่เป็นทิพย์ ไม่มีบ่วงสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดจะมาเยินยอปอปั้นให้หัวใจนั้นผิดพลาดอะไรไปได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ นี่ไงองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขๆ ไง มันเป็นวิมุตติ-สุข พระปัจเจกพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข แล้วไม่ต้องเป็นภาระต้องมาให้พวกเดียรถีย์นิครนถ์ เขามากลั่นแกล้ง มาทำลายตลอดเวลา
เรื่องโลกๆ เรื่องวิทยาศาสตร์ เราเชื่อวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันเป็นสื่อสารมวลชน มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในวิทยาศาสตร์ แต่ใครใช้ล่ะ เวลาพวกที่เขาเอาสิ่งทางเป็นวิทยาศาสตร์เอามาเล่นแร่แปรธาตุ ไอ้พวกที่ไม่มีเบสิกไม่มีพื้นฐานในการเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ นี่เออออห่อหมกไปหมด หลงใหลได้ปลื้มไปกับเขา ใครใช้ ใครใช้สิ่งนั้นมาลวงโลก แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นคุณภาพชีวิต สิ่งที่เป็นปกติเรื่องการใช้สอยเป็นข้อเท็จจริง นั้นเป็นเรื่องโลกที่เป็นสิ่งเรื่องของคุณภาพชีวิต แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมาไง
นี่พูดถึงว่าเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเสวยวิมุตติสุข ถึงว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มหัศจรรย์ ครูบาอาจารย์บอกว่า “ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาก็แล้วกันแหละ” พระพุทธ-ศาสนาไม่มีสิ่งใดเคารพรูปเคารพทั้งสิ้น ไม่อาศัยใครทั้งสิ้น อาศัยแต่อำนาจวาสนาของตนไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไง อนุปุพพิกถา ถ้าเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่ก็ให้เขาทำบุญกุศลของเขาก่อน เริ่มต้นจากทำบุญทำกุศลของเขา ถ้าทำบุญทำกุศลของเขาเนกขัมมะไง เวลาจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่ไง ให้ถือเนกขัมมะ ถ้ามีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ นี่พูดถึงว่าเริ่มต้นจากว่าไม่ให้เคารพใดๆ ทั้งสิ้นไง ให้เคารพตัวตนของตน ให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รัตนตรัยของเรา แล้วอยู่กับ ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันมีสิ่งใดที่จะมาหลอกมาลวงได้
แต่มันหลอกลวงได้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนไงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนมันทำให้ตัวเรารอดพ้นไปไม่ได้แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีบุญมีกุศลมาก แล้วถ้าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาเขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วไม่มีโอกาสได้นับถือพระพุทธศาสนา เห็นไหม
พระพุทธศาสนา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว“ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ อย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งสิ้น” ถ้าในมุมมองของพระอรหันต์นะ ในมุมมองของพระอรหันต์ไง ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้วเพราะการเกิดมีสถานะ มีตำแหน่ง มีหน้าที่มีการงาน ทุกข์ทั้งนั้น แต่มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของวัฏฏะ ของวัฏฏะเพราะอะไร
เพราะสัตว์โลกเกิดมา ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธ-ศาสนา แล้วถ้าเขามั่นคงในพระพุทธศาสนา เขาสร้างบุญสร้างกุศลของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เพราะบุญกุศลไง มันก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม
เวลาพวกพาลชน พวกกิเลสมันครอบงำหัวใจของมัน มันทำแต่ความพอใจของมัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นตัวเองแล้วก็ทำลายคนอื่น ทำลายไปทั้งสิ้น คิดว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับตนๆ มันเป็นประโยชน์ของกิเลสต่างหาก เพราะกิเลสมันต้องการไอ้ใจโง่ๆ อย่างนี้แหละอยู่ในอำนาจของมันไง แล้วมันยุมันแหย่ขึ้นไปก็ทำลายเขาไปทั่ว แล้วคิดว่าตนเองมีอำนาจวาสนาไง ตนเองมีอำนาจวาสนาแล้วทำบาปทำกรรมขึ้นมาแล้วมันไปไหน
เวลาเทวทัต เห็นไหม ทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิตห้อเลือด เวลาทำสังฆเภท อนันตริยกรรมๆ ไง นรกอเวจีเลย นี่ไง เวลาทำบาป ทำบาปถึงทำกับใคร ดูสิ เวลาทำร้ายพ่อทำร้ายแม่นี่ “พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” แล้วพ่อแม่ สิ่งที่ว่าให้กำเนิดชีวิตนี้มา แล้วฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็อนันตริยกรรม ดูกรรมสิ แล้วเวลามันมืดมันบอด มันทำลายไปทั้งสิ้น มันว่ามันยิ่งใหญ่ไง แล้วผลมันไปไหนล่ะ ผลมันก็นรกอเวจี เวรกรรมก็เรื่องหนึ่ง อนันตริยกรรมมันยิ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์ไง แล้วผลของมันที่มันได้ทำแล้วมันไปไหนล่ะ นี่ผลของวัฏฏะไง นี่ไง ที่ว่าถึงที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง
ถ้าจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ที่เวรกรรมของสัตว์โลกนี้ แล้วสัตว์โลกทำบุญทำบาปของแต่ละคนมาล่ะ มันถึงได้เสวยภพเสวยชาติของมันโดยตามเวรตามกรรมอันนั้นไง แล้วตามเวรตามกรรมอันนั้นเวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา การเกิด การเกิดเป็นอริยทรัพย์ ถ้าการเกิดเป็นอริยทรัพย์เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติที่ศรัทธาในชาติปัจจุบันนี้ แล้วที่มาล่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ เห็นไหม ผู้ที่ไม่มีวาสนาล่ะ เขาไม่มีวาสนา เขาไม่มีโอกาสได้นับถือพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาแล้วเพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้นับถือพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา แล้วก็มีการกระทำได้มากได้น้อยแค่ไหนล่ะ อย่าให้กิเลสมันก่อกวนสิ อย่าให้กิเลสมันย่ำยี ถ้ากิเลสมันย่ำยีแล้วมันไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นไง นี่ิทิฏฐิมานะของมัน
โดยชาวพุทธ “นรกสวรรค์มีหรือไม่ ภพชาติมีหรือไม่ มรรคผลนี่ไม่มีเลย แล้วทำไมต้องมาทุกข์มายาก ยิ่งโกงยิ่งแสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งเหยียบย่ำทำลายคนอื่นมันเป็นบุญกุศลทั้งหมดล่ะ” มันเป็นความดีของเขา เป็นความดีของกิเลสไง ถ้ามันขัดแย้งกับทาน ศีล ภาวนา ระดับของทานๆ ไง ระดับของทานพวกเล่นแร่แปรธาตุเขาก็เอาเรื่องของทานมาแสวงหาผลประโยชน์กัน แล้วเวลาคนที่เขาสละทานๆ ใจเขาเป็นธรรม เขาจะทำของเขา เขายังไม่กล้าทำของเขา มันเรรวนกันไปหมดไง
เขาถึงบอกว่าต้องทำบุญกับพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์มีศีล ๒๒๗ ไม่น่าเชื่อถือ แล้วดูพระสงฆ์สิ พระสงฆ์ตัวทำลายเลยล่ะ มันทำลายตัวของมันเองเพราะเกิดทิฏฐิมานะไง ถ้ามันไม่ทำลายมันจะมีเทวทัตหรือ ถ้ามันไม่ทำลาย ในพุทธกาลจะมีฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์หรือ ถ้ามันไม่ทำลายมันจะมีวินัยมาขนาดนี้หรือ
แล้วถ้าไม่ทำลาย เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระกัสสปะจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกได้ข่าวว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว” พระกัสสปะปลงธรรมสังเวช
มันเรื่องปกติเรื่องธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราไม่ธรรมดาเพราะมันทุกข์มันยาก เพราะเราไม่ธรรมดา เพราะเราเกิดมาแล้วนี่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรายังประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาไง
พระโสดาบันอีก ๗ ชาติ อย่างน้อยโสดาบันพาดกระแส แล้วนี่มันมีอะไรบ้างเป็นหัวใจล่ะ หลงใหลไปตะครุบจับกบจับเขียดแล้วก็ว่า “สิ้นกิเลส สิ้นกิเลส” โดนกิเลสมันครอบงำ สิ้นกิเลสของใคร สิ้นกิเลสมันต้องเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไอ้นี่สิ้นกิเลส มีแต่หลอกลวงชาวโลกไง จะให้เขาเคารพนับถือ ไอ้พวกมหาโจร
ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ขึ้นมา ท่านไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้นเลย พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ มันจะมาก่อกวนเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างไรถ้ามันเป็นธรรม นี่มันเป็นกิเลสไง มันถึงเหยียบย่ำทำลายเขาไปทั่ว แล้วก็ยังยกตนข่มท่านว่าตัวเองเป็นธรรมๆ สิ้นกิเลส กิเลสอะไรของมึง! มันไม่รู้จัก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น มันไม่รู้เรื่องหรอก
แต่คนถ้ารู้ถ้าเห็นขึ้นมาแล้วถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาจนเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุข มันมีความสุขของมัน เพราะมันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ มันไม่มีบ่วง ไม่มีสิ่งใดรัดเลย
แล้วดูสิเวลามันรุ่งเรือง ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เพราะการเกิดเป็นสหชาติมหัศจรรย์ ถ้าใครเข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็เพื่อบุญเพื่อกุศลอยู่แล้ว เพราะเข้าไปใกล้แล้วนี่อนาค-ตังสญาณรู้หมดล่ะ รู้ด้วยว่าเขามีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าเขาไม่มีวาสนา แสดงธรรมอย่างไรเขาก็รู้ไม่ได้ แต่ถ้าเขาจะรู้ได้เขาต้องมีวาสนาของเขามาไง
พระอรหันต์แสนกัป แล้วถ้าไม่ได้สร้างบุญกุศลมามันเหลวไหลจับกบจับเขียดตะครุบอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กบเขียดถ้าตะครุบได้มันยังเป็นอาหารหรือเป็นสินค้า การนำมาเป็นอาหารก็ฆ่าสัตว์ ผิดศีล แล้วตะครุบได้นี่โดยธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทดสอบ เขาทำวิจัย เขาจับสัตว์อะไรมาเขาวิจัยแล้วเขาก็ปล่อย เขาไม่ฆ่ามัน เพราะมันมีคุณค่า สายพันธุ์ของมัน เขาดูแลเพื่อประโยชน์สภาวะแวดล้อม เพราะมันเป็นห่วงโซ่ของสิ่งมีชีวิต เขาไม่ทำ เขาก็ศึกษาวิจัยค้นคว้าของเขาเท่านั้น
ไอ้นี่มันจับกบจับเขียด แล้วยังดีอกดีใจของตน มันจะมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มันไม่มี ไม่มีเพราะอะไรล่ะ มันไม่มีเพราะว่าอำนาจวาสนาของเขา ทั้งๆ ที่เขาเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วบวชเป็นพระนี่เป็นนักรบจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน แล้วมันได้รบหรือไม่ล่ะ มันแสวงหาอะไรกัน แสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ แล้วแสวงหา นี่ธรรมทูตๆจะเผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่ตัวเองให้ได้ก่อน ปฏิบัติให้ได้ก่อน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมา ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะบริวารของยสะ เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น “เธอกับเราทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” เวลาเผยแผ่ไปมันถึงจะเป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์ อะไรก็ได้ ถามมา อะไรก็ได้ พระอรหันต์มีความสงสัยอะไรในหัวใจบ้าง พระอรหันต์รู้ในอะไร รู้ในอริยสัจ พระอรหันต์ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในสมมุติบัญญัติ เพราะสมมุติมันกะล่อน มันปลิ้นปล้อน มันเปลี่ยนไปทุกวัน
แต่ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง คนที่มันทุกข์มันยากเขาต้องการมรรคต้องการผล ต้องการอริยสัจ ต้องการความจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมันทุกๆ ประการ พระพุทธศาสนาไม่มีของฟรี มีแต่บุญและบาปที่ตนได้สร้างมาและจะสร้างต่อไป แต่ถ้าทำตามความเป็นจริงขึ้นมา เรามีวาสนา เราจะประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะคนที่มีบุญยิ่งใหญ่
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีบุญยิ่งใหญ่นัก นี่มาเกิดกึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วใฝ่การประพฤติปฏิบัติไง ดูประวัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ ๑๐ ปีของหลวงปู่เสาร์เริ่มต้นที่เป็นมหานิกาย ละล้าละลังๆ อยู่อย่างนั้น แต่พอปักใจเอาความจริงขึ้นมา เห็นไหม ก็ไปได้หลวงปู่มั่นมา แล้วปฏิบัติเริ่มต้นมันทุกข์มันยากขนาดไหนนี่มันทุกข์มันยากทั้งนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ๖ ปีมันทดสอบหัวใจของตนไง นี่ ๖ ปีทดสอบหัวใจของตน แล้วทำกับเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ศึกษาค้นคว้ามาขนาดไหน ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาก็สำมะเลเทเมาจับกบจับเขียดไปอยู่กับเขานะ แต่นี้เพราะว่ามันไม่ใช่ มันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันก็เรื่องการทำความสงบของใจ แล้วใจของคนมีบุญมีบาป มันก็สร้างเวรสร้างกรรมของเขามา เขาก็จะประพฤติปฏิบัติมาทั้งนั้น
ในสหชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมามากน้อยขนาดไหน เวลาเกิดแต่ละภพแต่ละชาติ พระเวสสันดรต่างๆ มันก็เป็นภพเป็นชาติหนึ่ง แล้วเขาทำมามากมายมหาศาลขนาดไหน แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติมาที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา เขาจะทำอย่างไร เพราะเขาไม่มีวาสนาของเขา เขาก็ทำไปตามกระแสสังคม กระแสบุญบาปในหัวใจของเขา มันก็เท่านั้นแหละสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ จะอภิญญาต่างๆ มันก็เป็นเรื่องโลกียปัญญา เรื่องของโลกเรื่องของฌานโลกีย์ โลกีย์คือโลก โลกคือวัฏฏะไง ถ้าไม่มีวาสนา
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วมันมีคุณค่ามาก แล้วเราก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ไงเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ผู้มีบุญมีกุศลเกิดขึ้นมานี่กึ่งกลางพระพุทธ-ศาสนา แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นมันล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ขนาดมีบุญมีวาสนาขนาดนั้นนะ แล้วเวลาท่านเอาจริงเอาจังของท่านเพราะท่านมีบุญมีวาสนาของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านขึ้นมาจนท่านเป็นพระอรหันต์ๆ
คำว่า “พระอรหันต์” คือมันชี้หน้ากิเลสได้หมดล่ะ มันชี้หน้ากิเลสได้หมดแล้วมันต้องมี เห็นไหม มีมรรคมีผล มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยสัจจะโดยความจริงในหัวใจของท่าน ท่านถึงได้ชี้หน้ากิเลส แล้วทำลายกิเลสอวิชชาในใจของท่านสิ้นไป แล้วท่านอบรมบ่มเพาะมาเป็นธรรมทายาทๆ เป็นเพชรน้ำหนึ่งในลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มากมายมหาศาลเพราะอะไร
เพราะเขาได้สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา ถ้าไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมามันไม่ฟัง มันไม่เชื่อ ไอ้คำว่า “ฟังและเชื่อ” มันเป็นเรื่องศรัทธา เรื่องส่วนตัวเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่คำว่า “วาสนา” มันลงๆ นะ ดูหลวงปู่ฝั้นท่านเป็นมหานิกายท่านก็ฟังเทศน์จากหลวงปู่ดูลย์มา เวลาไปศึกษาค้นคว้ากับหลวงปู่มั่น ท่านเมตตาท่านคุ้มครอง ท่านดูแล มันเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมได้สร้างอำนาจวาสนามามันเป็นธรรม คำว่า “เป็นธรรม” มันเข้ากัน มันซาบซึ้งในใจไง ท่านอบรมบ่มเพาะท่านสั่งสอนให้ทำความสงบใจเข้ามา ก็พยายามฝึกหัด แล้วทำความสงบใจเข้ามาได้ด้วย
แล้วจะแทนคุณท่านบ้าง เพราะมหานิกาย ธรรมยุต มันเป็นนานาสังวาสนานาสังวาสอยู่ด้วยกันไม่ได้ กินด้วยกันไม่ได้ ท่านถึงได้ตัดสินใจญัตติเป็นธรรมยุต เพื่อ! เพื่อได้อุปัฏฐากท่านบ้าง เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาๆ น้ำร้อนก็ถวายท่านไม่ได้ เวลาพวกเรื่องยาเพื่อจะอุปัฏฐากท่านทำไม่ได้
นี่ไง หัวใจของคนที่มันเป็นธรรมๆ มันเห็นบุญเห็นคุณ มันไม่ใช่บุญคุณเรื่องวัตถุ มันบุญคุณด้วยหัวใจ หัวใจด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการเอื้ออาทร ด้วยน้ำใจ เพราะจิตตภาวนาเขาต้องเอาหัวใจ เอาจิตของเขาประพฤติปฏิบัติ
คนเกิดมามีกายกับใจ ร่างกายมีโดยทั่วกันทั้งสิ้น เกิดมาเป็นมนุษย์มีเหมือนกันหมด แล้วมนุษย์ที่มีเหมือนกันหัวใจของเขาถ้ามันไม่เป็นธรรม เขาก็เป็นอันธพาล เขาเบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น ไปสร้างเวรสร้างกรรมก็ผลของวัฏฏะต้องตอบสนองเขา กรรมให้ผลแล้ว กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา แล้วอย่าดีดดิ้น ทำดีแล้วไม่ได้ดี ดีอะไรของเอ็ง ดีหน้าไหว้หลังหลอก ดีพลิกแพลงอยู่อย่างนั้น อะไรมาดี ความดีมันต้องซื่อสัตย์สิ ไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง ความลับไม่มีในโลกตัวเองทำ ตัวเองรู้อยู่เต็มหัวใจ เราเป็นคนดี
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ “ทำไมเราโง่ขนาดนี้” โง่ขนาดนี้คือเราโง่เง่าเต่าตุ่นจับกบจับเขียด โง่กับกิเลสของตนให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย กิเลสเหยียบย่ำทำลายตัวเอง โง่จนไม่รู้จักตัวเองแล้วยังแสดงออกด้วยอำนาจบาตรใหญ่ มันบาดหูบาดตาคนที่เป็นธรรม นี่ถ้ามันไม่จริงไง
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ด้วยอำนาจวาสนามันเห็นบุญเห็นคุณ ญัตติเป็นธรรมยุตเลย เพื่อจะได้มาอุปัฏฐากท่านบ้างเวลาอุปัฏฐากท่านบ้าง อยู่อบรมบ่มเพาะมากับท่านด้วยมีอำนาจวาสนา
ถ้ามันเป็นกึ่งกลางพระพุทธศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” เวลาเจริญขึ้นแล้ว มันก็มีผู้นำก่อนๆ หลวงตา-พระมหาบัวพูดถึงหลวงปู่มั่น โรงงานผลิตพระอรหันต์โรงงานใหญ่คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ผลิตพระอรหันต์ ผลิตที่ไหน ผลิตที่แบบอย่างที่ท่านทำให้เห็น
แล้วเวลาคนที่เป็นธรรมมันไปเห็นแล้วมันซาบซึ้ง หลวงปู่พรหมเวลาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง ที่เชียงใหม่ “โอ้โฮ! ชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ ท่านร่ำลือนะ” หลวงตาพระมหาบัวท่านพูด ท่านได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวชแล้วบวชแล้วไปศึกษาก่อน ศึกษาค้นคว้าแล้วเวลาจะออกบวช“แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” เห็นไหม คนมีวาสนาขนาดไหนก็แล้วแต่ กิเลสที่มันร้ายกาจนี่มันบิดมันพลิ้ว มันจะพยายามปิดกั้น
ถ้าเป็นชาวพุทธก็ให้เป็นชาวพุทธตามประเพณีเท่านั้น ทำบุญทำบาปมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็อยู่ในอำนาจของเขา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยวาสนาของตนจะได้เป็นจริงเป็นจังมากน้อยขนาดไหนมันยังบอก “แล้วถ้าไม่มีล่ะ” ทั้งๆ ที่สร้างอำนาจวาสนามา ทั้งๆที่ได้สร้างคุณงามความดีมา
หลวงปู่มั่นเวลาท่านบวชแล้ว ทุกข์ยากขนาดไหน ประวัติหลวงปู่มั่นนั่นน่ะเวลาทุกข์ยากขนาดไหน ถ้าเป็นจริงเป็นจัง ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของท่าน แล้วเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานี่กึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งเจริญเพราะว่าด้วยสายบุญสายกรรม ด้วยคนที่สร้างเวรสร้างกรรมมาเกิดร่วมกันพอเกิดร่วมกันขึ้นมาแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเข้ากันๆ ไง ทั้งจริตนิสัยอำนาจวาสนามันต่อเนื่องกันไป
เวลาต่อเนื่องขึ้นไป กึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีอำนาจวาสนาอบรมบ่มเพาะๆ ขึ้นมา นี่เพชรน้ำหนึ่งๆ ธรรมทายาทมันเป็นรุ่น ๒ รุ่น ๓ ขึ้นมามันถึงสืบต่อๆ ให้ความมั่นคงไง
แต่ถ้าเป็นบุคคลคนหนึ่งมันก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่นี้มันสืบต่อมา สืบต่อมาจนมั่นคง แล้วมั่นคงต้องมีอำนาจวาสนาด้วย ไม่มีวาสนามันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อแล้วมันทำลาย พอมันทำลายขึ้นมาแล้วมันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง
แต่ถ้าเป็นชิ้นเป็นอัน ทำไมถึงเป็นชิ้นเป็นอันล่ะ เป็นชิ้นเป็นอัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนนะ สอนให้ทำความสงบใจเข้ามาก่อนๆ เวลาถ้าทำความสงบใจเข้ามาได้ คนที่มีวาสนานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ถ้าจิตสงบขึ้นมานี่ เวลาจิตสงบแล้วมันว่านั่นคือนิพพาน ถ้าไม่นิพพาน เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “พวกนี้พวกติดสมาธิ” มันติดสมาธินะ เพราะไม่มีวาสนาไม่เข้าใจ แล้วไม่มีกำลังที่จะทำให้มันก้าวหน้าไปกว่านี้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันติดในสมาธิก็ฤาษีชีไพรไง ก่อนพุทธกาลก็มีอยู่แล้ว ในสมัยพุทธกาลเขาก็ประพฤติปฏิบัติกันอยู่แล้ว แล้วเวลาปฏิบัติแล้วกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยคก็วนเวียนในวัฏฏะ นี้ผลของวัฏฏะ บุญและบาป ดีและชั่ว ถูกหรือผิด มันก็วนอยู่ในวัฏฏะไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา แล้วทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาเกิดจากอะไร เกิดจากองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจ อานาปานสติก่อน เพราะจิตมันต้องสงบระงับ ละโลก ละโลกคือละชีวิตไง ละภพชาติละหัวใจของตนที่มันเป็นสมมุติบัญญัติที่เกิดเป็นมนุษย์ไง สิทธิ-เสรีภาพ ความคิดความเห็นของตนนั่นน่ะ เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยากของมัน
เวลามาบวช เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช ๖ ปี ๖ ปีพยายามประพฤติปฏิบัติทั้งหมด พยายามจะแสวงหาค้นคว้า ไปศึกษากับใครทั้งสิ้นก็อบรมบ่มเพาะสั่งสอนมาหมดสิ้นแล้ว ไม่ใช่! เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ กำหนดอานาปานสติเป็นสัมมาสมาธิเป็นสมาธิเข้ามา สมาธิก็คือสมาธิ สมาธิมันยังรู้ได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกอดีตชาติได้อนาคตก็รู้ได้ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างสมมา ๔อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
แต่เราเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา อาสวักขยญาณครับ อาสวัก-ขยญาณประกอบไปด้วยอะไร สมาธิชอบ สติชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ มรรค ๘ ความเป็นมรรค ๘ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะจิตเวลามันไปตามกำลังของมัน อดีต อนาคตไม่ใช่ แล้วปัจจุบันอย่างไร
เวลาในสมัยปัจจุบัน เห็นไหม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนให้ทำข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม วัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติมันเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นั่นแหละกิเลสคือคู่เจรจา กิเลสคือคู่เจรจา ถ้าทำความสงบของใจเป็น ถ้าทำสมาธิเป็น กิเลสคือคู่เจรจา เจรจาอะไร การเจรจาไง นี่ไง ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาอะไร ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงมันก็เห็นกิเลสไง
กิเลสเป็นคู่เจรจานะ แล้วเจรจากับกิเลสเจรจาได้หรือไม่ เจรจาเป็นหรือเปล่าถ้าเจรจาแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ แล้วเจรจา เราตกลงกันได้หรือไม่ได้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็พ่ายแพ้อยู่นั่นไง แล้วเห็นกิเลสไหม เวลาคนที่ปฏิบัติไม่เป็น หรือปฏิบัติไม่ได้ เขาก็บอกว่า “กิเลสเป็นนามธรรม จะไปเห็นมันได้อย่างไรเป็นนามธรรม” ชัดๆ ไม่มีคู่เจรจา พูดอยู่ฝ่ายเดียว นี่ไง พูดอยู่ฝ่ายเดียวใครก็พูดได้ เอ็งก็พูดไปสิ
แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง การเรียนการศึกษาการค้นคว้าไง เวลาเรากรรมฐาน กรรมฐานเวลาบวชแล้ว อุปัชฌาย์ให้มาแล้วเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ กรรมฐาน ๕ แล้วกรรมฐาน ๕ ทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นความจริงหรือไม่ ถ้ามันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงขึ้นมาในภาคปฏิบัติไง
ภาคปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็มีการศึกษา ท่านก็ค้นคว้า แล้วเวลาค้นคว้าขึ้นมามันต้องค้นคว้าตามข้อเท็จจริง เวลาค้นคว้าขึ้นมานี่ภาคปริยัติหลวงตาพระมหาบัวท่านเรียนจบมหา ๓ ประโยค นี่ภาคปริยัติ แล้วเวลาจะออกประพฤติปฏิบัติ “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ”
นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติโรงงานใหญ่ที่ฝ่ายปรึกษาในการประพฤติปฏิบัติก็เจ้าคุณอุบาลีฯ ไง สิ่งที่ศึกษาศึกษาค้นคว้า วัดสระปทุมไง เวลามีปัญหาท่านก็ศึกษาค้นคว้าของท่านนี่ภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติ เห็นไหม เวลาเรานี่กิเลสคือคู่เจรจา เราเห็นกิเลสไหม แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงเป็นจังท่านเห็นของท่าน ท่านต้องรู้จักกิเลสของท่านถ้าคนไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นกิเลส แล้วมันจะไปชำระล้างอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ นี่อดีตและอนาคต เวลาจิตมันสงบแล้วเวลามันออกใช้ปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญาที่ไหน มันไม่มีคู่เจรจา ไม่มีคู่เจรจาคือไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดไง ความคิดทั้งหมดนี่เป็นสมุทัย ผลของสมุทัยคือทุกข์ ความคิดทั้งหมด ความคิดทั้งหลายจะคิดเมื่อไร คิดในสมาธิ คิดนอกสมาธิ คิดตรงไหน
ความคิดเกิดจากจิต จิตมีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ มันไม่รู้ตัวของมันเวลามันคิด มันคิดไปโดยความพลั้งเผลอ มันก็คิดไปแล้ว แล้วคิดเรื่องอะไร คิดเรื่องธรรมะๆ ไง นี่ตรึกในธรรม ตรึกในธรรม ความคิดทั้งหลายทั้งปวงเป็นผลของสมุทัยคืออวิชชา ผลของมันเป็นทุกข์ “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด” เวลามันหยุดของมันไง “จิตเห็นอาการของจิตเป็นมรรค ผลจากการจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ” ดับทุกข์ ขณะ ชัดเจน ถ้ามันรู้จักกิเลสมันเห็นกิเลสของมันไง กิเลสคือคู่เจรจา
แต่ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นล่ะ มันปฏิบัติไม่เป็นล่ะ กิเลสมันขี่คอไง จับเขียดจับกบอยู่นั่นแหละ จับเขียดจับกบมันยังเป็นเขียดเป็นกบนะ ไอ้นี่กิเลสมันพลิกมันแพลงมันหลอกมันลวง มันทำลายตลอดเวลา ถ้ามันทำลาย เห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง ครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะท่านสอนมา กิเลสคือคู่เจรจา แล้วเอ็งจะเจรจาอย่างไรล่ะ เอ็งจะเริ่มต้นอย่างไร ใครจะเจรจากับเอ็ง
กิเลสเป็นเจ้าวัฏจักร ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ การประพฤติปฏิบัติที่มันไม่ได้ผลเพราะกิเลสของเราต่างหาก กิเลสของคน อำนาจวาสนาของคนอ่อนแอ ไม่มีวุฒิภาวะ แล้วไม่มีมาตรฐาน นี่ทำสมาธิๆ ทำสมาธิไม่เป็นก็สอนสมาธิได้ ทำสมาธิไม่เป็นแล้วมันเป็นสมาธิได้อย่างไร แล้วเวลาทำสมาธิๆ ใครให้ทำสมาธิล่ะ
ในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องสัจจะเรื่องความจริง แล้วความจริง เห็นไหม นี่บุคคล ๔ คู่ ความจริงมันยังแบ่งเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่คู่ที่ ๑ เขาเห็นกิเลส เขาจับกิเลส แล้วเขาเจรจาต่อรองกิเลส พิจารณา เวลาพิจารณาคู่ที่ ๑ ถ้าคู่ที่ ๑ ถ้าพิจารณาไปแล้วถ้ามันไม่สิ้นสุดของมัน การเจรจานั้นเจรจานั้นล่มสลาย การเจรจานั้นไม่เกิดผลประโยชน์ใดทั้งสิ้น แล้วไม่เกิดผลประโยชน์แล้วกิเลสพลิกแพลงขึ้นมามันก็ถอยร่นลงไปเป็นปุถุชนคนหนา เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เข้าคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ หรอก
แล้วแต่ละคู่มันยังมีความลึกลับซับซ้อนต่อไป นี่กิเลสคือคู่เจรจา แล้วถ้ามันจับกิเลสได้ แล้วมันมีพิจารณาของมันได้ การเจรจามันยังต้องต่อเนื่องซับซ้อนไปนี่หลวงปู่มั่นไง “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” หลวงปู่มั่นจะแก้อยู่นี่ไง แล้วท่านก็แก้จิตของลูกศิษย์ลูกหา นี่ไง ถึงว่าโรงงานผลิตพระอรหันต์ โรงงานผลิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา
พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าเป็นผู้อบรมบ่มเพาะ เวลาอบรมบ่มเพาะขึ้นมา เวลา ๖๐ องค์ไง “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” ๖๐ องค์ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจบ อย่างไรเขาก็รู้แจ้งของเขา เพราะเขารู้แจ้งในใจของเขา เพราะเขาเห็นกิเลส เขาได้เจรจา เขาได้กำจัด เขาได้ชะล้าง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเราเราไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในหัวใจของเราไม่ได้เลย” ไอ้นี่มันการเยาะเย้ยไง แต่ตอนที่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชานั่นน่ะ ครอบครัวของมาร มันมหัศจรรย์ขนาดไหน ความมหัศจรรย์ขึ้นมาเพราะอะไร
ไก่เจาะฟองอวิชชาไง ไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ดอกบัวบานท่ามกลางหัวใจ ความเสวยวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขเพราะอะไร สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่ดำรงชีวิตอยู่ยังมีชีวิตอยู่ไง พอยังมีชีวิตอยู่ วิมุตติสุขมันบานดอกบัวบานท่ามกลางหัวใจ เวลาอรุณขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มหัศจรรย์มีความสุข แล้วสุขแบบวิมุตติสุขไม่ใช่เรื่องโลก
เรื่องโลกไม่ต้องมาพูดกัน เรื่องโลกเป็นเรื่องของโลก ไม่มีความจริงหรอกจับกบจับเขียดอยู่นั่น เวลาสุขก็สุขแบบจับกบจับเขียด เดี๋ยวก็เจริญ เดี๋ยวก็เสื่อมอยู่อย่างนั้น นั่นก็เรื่องของโลกเพราะมันไม่เข้าสู่ธรรมหรอก โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกีย-ปัญญาทั้งหลาย โลกียปัญญาทั้งสิ้น ไม่มีโลกุตตระแม้แต่ขี้เล็บขี้ผง จับกบจับเขียดมันจะเป็นโลกุตตระได้อย่างไร
กิเลสคือคู่เจรจา ถ้ามันรู้เห็นกิเลสนั่นแหละ นั่นแหละโลกุตตระเกิดตรงนั้นโลกุตตระในพระพุทธศาสนาไง นี่ไง ในพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาคือภาวนา-มยปัญญา
ในความเชื่อในศรัทธาในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อรูปเคารพใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่อเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น เพราะจะเป็นสิ่งมีชีวิตในวัฏฏะนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะหมด ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีเพราะถ้าไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มี มันมีวาระ มันเปลี่ยนแปลงตลอด แล้วการเปลี่ยนแปลงตลอดมันไปทั้งดีและชั่ว มันไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะความจริง
เว้นไว้แต่รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ต่างหาก เวลากราบธรรมๆ ขึ้นมา แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม รัตนะสอง ก็กราบธรรมในคุณธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาหัวใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา คุณธรรมอันนั้นมันก็เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา นี่ไง “เธออย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมอยู่ไหนล่ะ จับกบจับเขียดอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันๆ เพราะอะไร เพราะว่าอ่อนแอไม่มีวาสนา ถ้ามันมีวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ ใครที่มีอำนาจวาสนาแล้วอายุเขาน้อยเอาเขาก่อน ถ้าไม่เอาเขา เขาตายจากภพชาตินี้ไปแล้วมันจะหมดโอกาสไง
เราชาวพุทธ เราก็ตั้งใจกันไว้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เราก็จะสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าตายไปก็เกิดให้มันมีจริตนิสัยส่งเสริม ส่งเสริมให้เราประพฤติปฏิบัติให้อย่างน้อยจิตนี้พาดกระแส อย่างน้อยถ้าเป็นโสดาบันมันพาดกระแสแล้ว จิตดวงนั้นต้องสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปในอนาคตเด็ดขาด แต่ถ้ามันยังไม่พาดกระแส น่ากลัวผลของวัฏฏะๆ ไง ผลของวัฏฏะเดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย แล้วกิเลสมันยุมันแหย่ไง แล้วเวลา ดูสิ คนดีๆ นี่แหละอารมณ์ชั่ววูบทำร้ายเขาไปแล้ว ทำลายเขาไปแล้ว นั่นเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ทั้งสิ้น
แล้วจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ วัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่สำคัญมาก คำว่า “สำคัญมาก” เพราะเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจใจมันดิ้นมันรน มันดีวันหนึ่งดี ๕ นาที ร้าย ๒๔ ชั่วโมง ร้ายกาจนัก การประพฤติปฏิบัติสิ่งที่กีดขวางอยู่คือกิเลสในใจของคน ในใจของเราทั้งสิ้น เราทำแล้วไม่ได้ผล ไม่ได้สิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เพราะกิเลสในใจของเราทั้งสิ้น แล้วควบคุมมันไม่ได้ไง
เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ข้อวัตรปฏิบัติ ให้เป็นเครื่องอยู่ แล้วถ้ามันสงบระงับแล้วมันวางอารมณ์อย่างไร มันประพฤติปฏิบัติอย่างไร ให้ชำนาญในวสีชำนาญในวสีคือการเข้าการรักษาสมาธิของตนไง ถ้ารักษาสมาธิของตน รักษาๆสมาธิของตนในความชำนาญของตน ในการประพฤติปฏิบัติทำซ้ำๆ เพื่อฝึกหัดให้มันมีความชำนาญของมัน
ถ้ามันมีความชำนาญของมันแล้วเราน้อมไป เราพยายามน้อมไปพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมของเรา ถ้ามันพิจารณาได้ ถ้ามันน้อมไปได้ เห็นไหม ถ้ามันน้อมไปได้มันเห็นสัจจะความจริง นั่นล่ะกิเลสคือคู่เจรจามันจับมันต้องของมันได้ ถ้ามันจับมันต้องของมันได้ ถ้าจับต้อง ถ้ามีวาสนาบารมีมันก็จับต้องของมัน เห็นไหม
เวลามันเห็นกาย เวลากาย กายมันคงที่ก็ได้ ถ้ากำลังไม่พอกายมันไหล ภาพมันไหล เวลาภาพมันไหล ภาพมันเอียง ภาพมันไม่คงที่เพราะอะไร สมาธิไม่พอสมาธิไม่พอ เรากลับมาที่สมาธิสิ ถ้าเพราะมันมีสมาธิไง นี่ไง ที่ว่าไอ้หลับตาลืมตามันหลับตาลืมตาที่ไหน แล้วถ้ามันเห็น มันเห็นอย่างไร เวลาวิปัสสนา วิปัสสนาตรงไหน นี่วิปัสสนาๆ ด้วยจักขุญาณ วิปัสสนานี่จิตแก้จิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันเป็นสัจจะความจริง เวลามันจับ จับของมันได้ มันพิจารณาของมัน นี่คู่เจรจา แล้วมันยอมเจรจากับเราไหม มันไม่ยอมเจรจาเพราะอะไร
คนเขาจะเจรจากัน เขาเจรจาในระดับพื้นเดียวกัน นี่คู่เจรจามันต้องมีกำลังแล้วมีความเคารพกัน มีความเกรงใจต่อกัน มันถึงจะเจรจากัน ทางโลกเราเป็นบุคคลล้มละลาย เราไม่มีสิทธิ์เลย บุคคลล้มละลายตอนนี้ ๓ ปี ๓ ปีพ้นภาวะล้มละลาย แล้วพ้นภาวะล้มละลายแล้วก็ต้องทรัพย์สิน เวลาก่อนล้มละลายได้ไปซ่อนทรัพย์สินไว้ไหนไหม โยกย้ายทรัพย์สินหรือเปล่า พอพ้นจากล้มละลายจะเอาทรัพย์สินของตนคืนหรือ แล้วคนล้มละลายจะไปเจรจากับใคร
สมาธิล้มละลายจะหลับตาลืมตาไม่เกี่ยว ชำนาญในวสีของตน มีชำนาญของตน หลวงปู่มั่นเป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ “จิตเป็นอย่างไรๆ จิต จิตสงบไม่สงบ” เพราะคำว่า “สงบ” มันต้องมีวัตรปฏิบัตินี่ไง เป็นเครื่องอยู่ของใจเพราะอะไร เวลาเป็นสมาธิแล้วเสื่อม เวลาจิตเสื่อมคนภาวนาเขารู้ จิตเสื่อมนี่โอ้โฮ! มันทรมานมากมันทุกข์มันยาก มันทั้งวิตกทั้งวิจารณ์ ทั้งเสียดาย ทั้งคับแค้น ทั้งโทษตัวเอง ทั้งโทษคนโน้น โทษไปหมดล่ะ เวลาจิตมันเสื่อม ถ้ามันจะเสื่อมให้มันเสื่อมไป
หลวงตาพระมหาบัวท่านจิตเสื่อม แล้วท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง เวลาขอให้หลวงปู่มั่นแก้ไง “จิตนี้มันเหมือนเด็กๆ มันต้องการอาหาร แล้วถ้าเราไปตามเด็กนั้น เด็กมันจะงอแง แล้วมันไม่เข้าใกล้ แล้วมันกระฟัดกระเฟียด เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เราหาอาหารไว้เผื่อมัน ถ้ามันหิวมันจะกลับมาหาอาหารเอง ให้กำหนดพุทโธไว้ พุทโธๆๆ พุทโธไว้ พุทโธไว้” ท่านบอกว่าพุทโธเพราะมันเสื่อมไง มันทุกข์มันทรมานมาก เวลามันพุทโธๆๆ นี่ท่านบอกเลย ๓ วัน ๔ วันมันฟื้นมาไง คือจิตมันกลับมากินอาหารไง กลับมากินอาหารมันกลับมาอยู่กับพุทโธ
แต่เดิมกำหนดไว้เฉยๆ ไปทำกลดหลังเดียวเสื่อมหมดเลย ขนาดรู้ว่าเสื่อมด้วยนะ พอจิตมันจะเสื่อม ทิ้งเลยนะ รีบทำให้จบ ทีแรกก็ทำกลดเหมือนธรรมดาธรรมดาของนักปฏิบัติเขาจะมีสติรอบคอบ จะทำอะไรมันจะสวยงามเพราะทำด้วยสติ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ไม่ได้จับกบจับเขียดอะไรมาประกอบ ประกอบให้มันเสร็จ อันนั้นถ้ามันเป็นความมักง่าย เป็นความเคยชินแล้วมันจะทำให้จริตนิสัยเป็นอย่างนั้น
เวลาผู้ที่ปฏิบัติเพราะสติมันสมบูรณ์อยู่แล้ว เวลาทำก็ตั้งใจทำ พอตั้งใจทำมันไปอยู่ที่นั่นหมดเลย แล้วมันเสื่อมหมดเลย เสื่อมหมดเลยท่านก็แสวงหาไปหาหลวงปู่มั่นนี่แหละ ถ้าจิตมันเสื่อม จิตมันเหมือนเด็กๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่คือปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาทำสมาธิได้ยาก เพราะอะไร เพราะตา หู จมูก ลิ้นกายและหัวใจ หัวใจมันเคยอะไร เคยชินกับอะไร นี่ไง พระบวชใหม่ๆ เห็นไหมนิสัยฆราวาสมันติดมา นิสัยคือความเคยชิน
แล้วเวลาบวชเป็นพระแล้วสมณสารูป ยืนฉันก็ไม่ได้ เสียงดังก็ไม่ได้ นั่งรัดเข่าก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเสขิยวัตรไง นี่เสขิยวัตร ๗๕ ข้อนี่ผิดหมดล่ะ ไม่ได้ๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่เวลาผู้บวชใหม่แล้ว ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านก็รู้ว่าเป็นผู้บวชใหม่เขาเคยชินของเขามา ก็ต้องปรับปรุงของเขามา นี่ก็เหมือนกันผู้ที่ปฏิบัติปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนานี่ทำสมาธิได้ยาก อย่ามาขี้โม้ว่าใครคนนั้นทำได้ คนนี้ทำได้ทำได้น่ะละเมอเพ้อพกจับกบจับเขียดอยู่นั่นล่ะ
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงคนที่เขาภาวนาเขามีสติ ต้องมีสติ ต้องมีคำบริกรรม ถ้าไม่มีคำบริกรรม จิตมันอยู่ได้อย่างไร นวกรรม คนไม่ทำงานมันจะมีผลงานอะไร คนไม่ตักน้ำดื่มมันจะมีน้ำที่ไหนดื่ม คนจะดื่มน้ำมันก็ต้องตักน้ำดื่ม คนจะกินอาหารมันก็ต้องมีสำรับอาหาร มันไม่มีสำรับอาหารมันจะกินอาหารได้อย่างไรหัวใจที่มันจะเข้าสู่สมาธิ หัวใจที่มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องมีคำบริกรรม มันมีนวกรรม
ถ้าไม่มีมันขาดบริกรรม จับกบจับเขียดแล้วก็ว่ามีของตน แล้วก็ทำสมาธินะแล้วไม่รู้จักเข้าจักออก ไม่รู้จักเป็น มันไม่เป็นอะไรเลยหรือ ถ้ามันจะเป็น เห็นไหมนี่ปุถุชนคนหนา แล้วปุถุชนคนหนาเวลาพิจารณานะ ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันไล่กัน ปัญญาอบรมสมาธิมันพิจารณาจิตตลอดเวลาด้วยตรึกในธรรม คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราศึกษาค้นคว้านั่นแหละ แล้วเวลาเราเทียบเคียงของเรา เห็นไหม กิเลสมันสู้ธรรมะไม่ได้หรอก
ธรรมะ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ายอดเยี่ยม เพราะธรรม คำว่า “ธรรม” คือการแสดง-ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากหัวใจที่วิมุตติสุข หัวใจที่เป็นธรรมมันเหนือกิเลสอยู่แล้ว เพราะท่านฆ่ากิเลสแล้วเพราะท่านเห็นหมดแล้ว กิเลสคือคู่เจรจา แล้วท่านได้ประหัต-ประหารมันสิ้นไปจากใจของท่านแล้ว แล้วท่านแสดงธรรมไว้ กิเลสมันจะมาต่อกรได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่! แต่กิเลสของเรามันเต็มหัวใจไง แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือสัญญาคือจำได้หมายรู้มา แล้วเรามีสติสัมปชัญญะเราก็ตรึกในธรรมได้ พอตรึกในธรรม ผลของมัน แล้วตรึกในธรรมถ้ามันเท่าทันแล้วมันก็หยุด หยุดบ่อยครั้งเข้าๆ แล้วถ้ามันน้อมไป น้อมไปเห็นกิเลสไง กิเลสคือคู่เจรจา แล้วเจรจากับมันเป็นหรือเปล่า เจรจาคือวิปัสสนา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานทำความสงบของใจไม่ได้ ทำสมาธิไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ได้เจรจา
เวลาเจรจานะ บุคคลล้มละลายก็ไม่มีสิทธิ์เจรจา แล้วทางโลกตอนนี้เขามีนิติบุคคล นิติบุคคลมันตั้งบริษัทของมัน นิติบุคคล มันก็มีสิทธิ์ของมันตามนิติบุคคล นิติบุคคลคืออะไร คือปริยัติไง ศึกษาค้นคว้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้หมด เข้าใจหมด เป็นนิติบุคคล นี่เหมือนกัน ไอ้หลับตาลืมตามีแต่เขียนบาลี วิจารณ์บาลี นั่นน่ะนิติบุคคล จะไม่มีทางได้เห็นกิเลสไม่มีทาง ถ้าเป็นกิเลส กิเลสของใคร ศึกษาค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มาวิเคราะห์วิจัย นิติบุคคลมันต้องตั้งตัวแทนไง
บริษัทมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นนิติบุคคล ตั้งขึ้นมาตามกฎหมาย แล้วจะไปเจรจากับใคร มันเป็นเอกสารมันจะไปเจรจากับใครได้ มันก็ต้องแต่งตั้งตัวแทนใช่ไหม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แหม! วิเคราะห์วิจัยธรรมะ “อู้ย! สัมโพชฌงค์ โอ้ย! เทวะเดวะ ๒ กามสุขัลลิกานุโยค” ไม่ได้! ไร้สาระ! จับกบจับเขียดยังดีกว่าด้วย ไอ้นี่มันมีแต่กระดูกกบกระดูกเขียด ไม่ได้เขียด ไม่ได้เนื้อเขียดด้วย
เพราะมันเป็นนิติบุคคล มันไม่มีจิต มันไม่มีสมาธิ มันทำสมาธิไม่เป็น แล้วมันดูถูกดูแคลนความเป็นไปของนามธรรม แล้วกิเลสเป็นนามธรรมด้วยนะ แล้วไม่มีนะ แต่ความรู้เขามี นั่นน่ะไม่เคยเห็นกิเลสเลย ถึงบอกกิเลสเป็นนามธรรมไง พวกนิติบุคคลที่ไม่มีโอกาสได้เจรจา คือยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ ไม่มีโอกาสเจรจาเพราะไม่เคยเห็นกิเลส แล้วไม่รู้จักกิเลส เพราะการประพฤติปฏิบัตินี้เป็นเรื่องของนามธรรมทั้งสิ้น เป็นเรื่องของหัวใจ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันไม่ใช่เป็นที่ปากกาดินสอ เป็นที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เราศึกษา เราค้นคว้าเป็นภาคทฤษฎี นิติบุคคล จิตของเราต่างหากๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาแสดงธรรมๆ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาแสดงธรรมแล้วเขารู้ไม่ได้หรอก สิ่งที่เขารู้ได้มันก็เป็นลาภโลกธรรม ๘ มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะศาสนาแรกของโลกคือศาสนาถือผี จิตวิญญาณมันก็คือผี แล้วจิตวิญญาณมันก็อยู่ที่วาระไง วาระที่เราเกิดมาเราไปเจอสิ่งใด
แต่ถ้ามีวาสนา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วเราจะพยายาม ถ้ามีอำนาจวาสนา เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ในวัฏฏะนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่ง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะธรรมมันอยู่ที่หัวใจไง ธรรมสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณของบุคคล ด้วยใจของมนุษย์ ด้วยใจของเทวดา ดวงใจของอินทร์ของพรหมที่ประพฤติปฏิบัติฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เทวดา อินทร์ พรหมก็เป็นพระอรหันต์ได้
เราเป็นมนุษย์ๆ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าได้ทำลาย ชำระสะสางปราบปรามกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าถึงได้ชี้หน้ามาร แล้วอบรมบ่มเพาะให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น แล้วถ้าในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านประสบความสำเร็จแล้วท่านถึงชี้ถูกชี้ผิดได้ชัดเจน แล้วเวลาเพชรน้ำหนึ่งๆ ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันทำไมหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงหลวงปู่ขาวล่ะ พูดถึงหลวงตาพระมหา-บัวดีทั้งนอกดีทั้งใน นอก นอกคือข้อวัตรปฏิบัติ นอกคือสิ่งที่เป็นสังคมที่จะเป็นแบบอย่าง
ใน ดีทั้งนอก ดีทั้งใน ในเพราะว่าหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว หลวงตาพระมหาบัวท่านกำลังประพฤติปฏิบัติของท่านด้วยความเข้มข้นของท่าน แล้วถ้าเข้มข้นของท่าน ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง กิเลสคือคู่เจรจา แล้วถ้าเขาเห็นกิเลสของเขาเขาได้เจรจาของเขา แล้วเจรจาแล้วเจรจาด้วยกำลัง เจรจาด้วยความสามารถเจรจาด้วยสติด้วยปัญญาของตน ชนะหรือแพ้ล่ะ
ถ้ามันชนะ เวลาสิ้นสุด ชนะก็ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะว่ากิเลสมันแก่นกิเลสมันไม่ยอมสิ่งใดง่ายๆ หรอก เพราะว่าเจ้าวัฏจักรมันต้องครอบครองสมบัติของมันอยู่แล้ว เวลาเจรจาแล้วเจรจาเล่า เวลาถึงที่สุดมันสรุปมันขาด นิโรธ ขณะจิต ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจเป็นบุคคลคู่ที่ ๑ ถ้าบุคคลคู่ที่ ๑พาดกระแส ถ้าพาดกระแสแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลแน่นอน
แต่หลวงตาพระมหาบัวท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วท่านขึ้นไปรายงานถึงผลปฏิบัติของท่าน เวลาติดสมาธิท่านก็ดึงออกมา เวลาติดสมาธิ ๕ ปี หากิเลสไม่เจอเวลาติดสมาธิ ๕ ปี กิเลสคือคู่เจรจา ไม่มีคู่เจรจาคิดว่ามันจบไง หลวงปู่มั่นท่านก็ดึงออกมา ดึงออกมา มันก็เห็นกิเลส เห็นอสุภะอสุภัง เห็นคู่เจรจา แล้วเจรจาด้วยมหาสติ มหาปัญญาซะด้วยนะ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าจนถึงที่สุดไง เวลามันสมุจเฉทปหาน ขณะมันขาด รายงานหลวงปู่มั่นหมดล่ะ
แล้วหลวงปู่มั่นท่านรู้ว่า ถ้าใครพาดกระแสเป็นพระโสดาบันแล้วเขาต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์แน่นอน ต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน หลวงตาพระมหาบัวก็เหมือนกันเวลาท่านผ่านคู่ที่ ๓ ฉะนั้น ท่านต้องเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลแน่นอน ถึงบอกว่าดีทั้งนอกและดีทั้งในไง ทำไมหลวงปู่มั่นท่านสั่งเสียไว้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ความเป็นธรรม “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันอยู่กับใคร ธรรมมันอยู่ที่ไหน เวลาธรรมที่มันอยู่ในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านมีอำนาจวาสนา ท่านก็ต้องขวนขวายขึ้นไป
เพราะเราไม่รู้ กิเลสคือคู่เจรจา แล้วไม่มีสิทธิ์ได้เจรจากับมันเลย เพราะไม่เห็น มีแต่มันเหยียบย่ำทำลาย เหยียบย่ำทำลายนะ ถ้าไม่เหยียบย่ำทำลาย ชีวิตในสมณเพศมันต้องตลอดรอดฝั่ง ชีวิตในสมณเพศถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าซื่อสัตย์เพื่อให้ภพชาติมันสั้นเข้า เพราะมันอยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนา ขิปปา-ภิญญาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย คนที่ปฏิบัติแล้วเขาเข้าใจของเขา เขาทำของเขาโดยสัจจะโดยความจริงของเขา
กิเลสคือคู่เจรจา เขาได้เห็นกิเลส เขาได้เจรจาด้วยวิปัสสนาญาณ จกฺขํุ อุทปาทิ จักขุญาณเกิดขึ้นจากหัวใจจากจิตไม่ใช่จากดวงตา ดวงตามันเห็นของมันเวลาผู้ที่พิจารณาในทางจงกรม ในการประพฤติปฏิบัติเขาก็พิจารณาจากหัวใจของเขา เวลามันสมุจเฉทปหาน เวลามันชำระล้างกันมันก็ไปชำระล้างในหัวใจของเขา ชัยภูมิในการประพฤติปฏิบัติคือสมถกรรมฐาน คือภวาสวะ คือภพ คือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลาสมุจเฉทปหาน เห็นไหม ดั่งแขนขาด ตัดแขน ตัดขากิเลสโดยข้อเท็จจริง ตัดแขน ตัดขาของมัน จนตัดหัวมัน ตัดหัวคือทำลายภวาสวะ ทำลายภพทำลายชาติ ตัดแขน ตัดขา ตัดหัว แทงหัวใจมันอย่างนี้นี่คู่เจรจา ถ้าการเจรจาโดยสัจจะโดยความจริง โดยมรรค โดยผล โดยการกระทำ โดยสัมมาทิฏฐิ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาจะต้องชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนๆ มรรค ๔ ผล๔ ในสัจจะในความจริงในการประพฤติปฏิบัติไง นี่พูดถึงว่ากิเลสคือคู่เจรจา
ปฏิบัติไม่เป็น มันไม่เคยรู้และไม่เคยเห็น แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติโสดาบันฆ่าหลานมัน ถ้าสกิทาคามีฆ่าลูกมัน พระอนาคามีฆ่าพ่อมัน คือความโลภความโกรธ ความหลง กองทัพใหญ่ เวลาทำลายอวิชชาฆ่าปู่มัน ครอบครัวของมารไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วเวลาการฆ่าการทำลายแต่ละภพแต่ละชาติ นี่กิเลสคือคู่เจรจานะ ถ้าจับต้องได้เห็นได้ตามความเป็นจริงมันถึงจะได้เจรจาได้เจรจาคือวิปัสสนาญาณ
วิปัสสนา เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ มันพิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาเวลาเป็นสติ เป็นมหาสติ มหาปัญญา มันมหัศจรรย์ของมัน มันพิจารณาของมันเวลามรรคมันเคลื่อน มรรคมันหมุนของมันไป เห็นไหม นี่มรรคนะ เจรจาด้วยอย่างนี้ เจรจาด้วยภาวนามยปัญญา แล้วกิเลสมันหลบ มันซ่อน มันพลิก มันแพลงนี่กิเลสชัดๆ
แล้วเวลาพ่ายแพ้ หลวงตาพระมหาบัวท่านอดอาหาร ท่านผ่อนอาหารจะสู้กับกิเลสไง กำหนดกำลังของตนว่าพอจะบิณฑบาตได้ ลงมาบิณฑบาต ไปบิณฑบาตเดินไม่ไหว พระหนุ่มๆ นะ นั่งลงนะ นั่งลงแล้วทุกข์ เวลาปฏิบัติมันทุกข์ทั้งกายและใจ ทุกข์ทั้งกาย กายอดนอนผ่อนอาหาร ทุกข์ทั้งใจน้ำตาไหล ท่านพูดเองว่าน้ำตาไหล “อู้! กิเลสมึงเอากูขนาดนี้นะ วันใดถ้ากูมีกำลังขึ้นมา กูจะไม่ไว้หน้ามึงเลย” แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้
เวลาคนที่มีอำนาจวาสนาเขากลัวไหม เขายอมแพ้ไหม เขาถอยกรูดๆ ไหมเพราะอะไร เพราะเขาสร้างมา ในประวัติหลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่ลีท่านพูดไว้“ท่านสร้างมามากมายมหาศาล” นี่ไง ความเป็นพระอรหันต์มันต้องแสนกัป เขาได้สร้างบุญสร้างกุศลของเขามา จิตใจเขาเข้มแข็ง จิตใจของเขา สัจจะในใจของเขานี่มาตรฐาน มาตรฐานความคิด มาตรฐานการดำรงชีวิต มีมาตรฐาน ไม่หวั่นไหวไม่แปรปรวน ไม่เหลวไหล ไม่จับกบจับเขียด ไม่ทำลายใคร ปรารถนาทำลายกิเลส แล้วพยายามนะ เจาะจง รอบคอบ เพื่อจะค้นคว้าหาให้เจอ
ถ้าค้นคว้าหาเจอ นี่ไง หลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์บ่อยมาก “งานในการประพฤติปฏิบัติมีทั้งการขุดคุ้ย การประหัตประหาร การขุดคุ้ยคือหาคู่เจรจาให้เจอ แล้วคู่เจรจามันพลิกมันแพลง มันหลบมันหลีก มันปลิ้นมันปล้อน ร้ายกาจนักกิเลสคือคู่เจรจา”
แต่ปฏิบัติเหลวไหลจับกบจับเขียด มันไม่เห็นกิเลสเลย แล้วไม่รู้จักกิเลสทำความสงบของใจยังไม่เป็น แล้วทำความสงบของใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวเจริญเดี๋ยวก็เสื่อม เวลาเจริญขึ้นมาก็คิดว่าตัวเองมีคุณค่ามีราคา มีความสามารถ เวลามันเสื่อมไป สัญญาทั้งนั้น จำของเก่าๆ ไว้ แต่ความดีที่จะเพิ่มเติมขึ้นไปไม่มี มันก็เลยจับกบจับเขียดอยู่อย่างนั้นไง
นี่ไง การประพฤติปฏิบัติไง กิเลสคือคู่เจรจา หากิเลสให้พบ คือการขุดคุ้ยค้นคว้าหา แล้วเวลาเจรจาแล้ว โอ้ย! มันยังยืดยาวนัก ในทางการทูต ถ้าประเทศไหนด้อยค่า ไม่มีกำลัง ไม่มีกองทัพ เขาตบหัวเล่นเลย ทรัพยากรเขากำหนดชี้เอาหมด คู่เจรจาทางการทูตมันยิ่งเป็นเหยื่อ
แล้วเจรจากิเลสนะ มันกะล่อนกว่าเยอะเลย ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้ายกับกิเลสในใจของคน เราเป็นคนดี เราเป็นคนที่มีสติปัญญามันก็ปลิ้นปล้อนบอกว่าเป็นธรรมะมันขอร่วมด้วย เราจะทำสิ่งใดสมุทัยเจือปนมาตลอด อนุสัยอยู่กับใจของคน ไม่เห็นกิเลส กิเลสเป็นเนื้อเดียวกับหัวใจ กิเลสเป็นเจ้าวัฏจักร ครอบงำภวาสวะครอบงำภพ ครอบงำจิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอวังตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหามาด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ได้มาๆ นี้ ได้มาด้วยอำนาจวาสนาบารมีด้วยการสะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่ได้มามันมีพื้นฐานของมันมา ถ้ามันมีพื้นฐานของมันมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นน่ะสัจธรรมความจริงอันนั้นมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง
คนที่มีอำนาจวาสนามีบารมีขนาดนั้น มันไม่เหมือนพวกเราคนโง่เง่าเต่าตุ่นไง คนโง่เง่าเต่าตุ่น มันก็จับกบจับเขียดเท่านั้นแหละ มันไม่ใช่ไปรู้เรื่องอย่างไรเรื่องมรรค เรื่องผล
ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนไปอดีตชาติไม่มีวันที่สิ้นสุด จุตูปปาตญาณในอนาคตกาลไปไม่มีวันจบวันสิ้น อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าต่างหากที่ทำลายอวิชชา นี่ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ครอบครัวของมารทั้งหลายทั้งสิ้น
ถ้าทั้งหลายทั้งสิ้นมันเป็นความมหัศจรรย์ไง มันเป็นความมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขๆ ถ้าเสวยวิมุตติสุข เห็นไหม พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบและพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เสวยวิมุตติสุขแล้วก็อบรมบ่มเพาะตามอำนาจวาสนาของตนไง ไม่เหมือนกับองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศศาสนา ประกาศศาสนา คำว่า “ประกาศศาสนา” นั้นเพราะต้องมีอำนาจวาสนาบารมี
ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีไง เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ในพระไตรปิฎก เวลาแสดงธัมมจักฯ นี่หัวใจของพระ-พุทธศาสนาไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตต-กิลมถานุโยค ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พวกพราหมณ์ๆ ที่เขาทำของเขา ทุกรกิริยาๆ เนี่ย เขาทำของเขามากมายมหาศาลขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ประพฤติปฏิบัติกับเขามาแล้วทำได้มากกว่าเขาอีกต่างหาก
กามสุขัลลิกานุโยค ในสมัยพุทธกาลมันมีพระที่บอกว่า “ทำอย่างไรก็ได้ เสพกามอย่างใดให้มันเต็มที่อย่างไรก็ได้ ๕๐๐ ชาติก็จบ ๕๐๐ ชาติทำจะเป็นพระอรหันต์” มันจะเป็นพระอรหันต์ไปไหน เพราะแต่ละภพแต่ละชาติได้สร้างเวรสร้างกรรมขนาดไหน เกิดชาติต่อไป คำว่า “๕๐๐ ชาติ” เขาเกิดของเขา ๕๐๐ ชาติ เขาเชื่อของเขาว่าเกิด ๕๐๐ ชาติแล้วทำของเขาอยู่อย่างนั้นจะสิ้นกิเลสของเขาไปกามสุขัลลิกานุโยคมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาเข้าไปทดสอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าไปทดสอบจนหมดจนสิ้นแล้ว มันไม่มีทางออก เห็นไหม
เวลาในทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาประกอบด้วยมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมในการประพฤติปฏิบัติให้เกิดขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง ถ้ามันทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีกิเลสแม้แต่เล็กแต่น้อย มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในธรรมธาตุนะ
ถ้าในหัวใจนี่ภาษาสมมุติ ถ้าสมมุติแล้วสมมุติมันเป็นของคู่ ถ้าของคู่แล้วมันโต้แย้งกัน ถ้าโต้แย้งกันในสัจจะในความจริงของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ พอถึงเวลาที่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺ-ตมํ หลวงปู่มั่นท่านเวลาแก้จิตๆ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ มันเป็นภาษาสมมุติ แต่สมมุติเข้าไปสู่สัจจะความจริงในหัวใจอันนั้น ผู้ที่เป็นความจริงมันเข้าใจได้
แต่ไอ้พวกจับกบจับเขียดเวลาเป็นสมมุติมันก็สมมุติต่อเนื่องไป มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรอก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาตรงไหน ตรงที่มันทำภาวนาไม่เป็น ทำภาวนาไม่เป็นคือไม่มีพื้นฐาน ไม่มีเบสิก ไม่มีการก่อร่างสร้างตัวไม่มีเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน ไม่มีธรรม ไม่มีธรรมไม่มีคุณธรรมไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะความจริงเลย ไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจอันนั้น ถ้าไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจอันนั้น มันเลยเหลวไหลเหลวแหลกไง
แต่ถ้าเป็นความจริงอันนั้นนะ ถ้าเป็นสัจจะความจริงประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ความชอบธรรมอันนั้นเสวยวิมุตติสุขๆ เวลาแสดงธรรมๆ ไง แสดงขึ้นมา ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ได้ยสะบริวารของยสะ ๖๐ องค์ “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”
คำว่า “บ่วงที่เป็นโลก” ดูสิ ดูทางโลก โลกามิสนี่ นักบวชนักปฏิบัติเอาโลกเป็นใหญ่ มารยาสาไถย คำว่า “มารยาสาไถย” ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดพูดจาโกหกมดเท็จจะทำความชั่วอย่างใดๆ ในโลกนี้ไม่ได้เลยทำได้ทั้งสิ้น” ถ้ามันโกหกมดเท็จไง มันไม่มีสัจจะมีความจริงในหัวใจของมัน แล้วมันแสดงไปมันจะเป็นอะไร มันก็เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น โลกามิสต้องการให้เขาเชื่อถือศรัทธา ต้องการให้เขาพะเน้าพะนอต่อตนไง มันเป็นเรื่องอะไรน่ะ
แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ เวลาบวชพระ เอหิภิกขุท่านบวชให้เอง แล้วพอมากขึ้นก็เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นภิกษุเข้ามาได้ สุดท้ายญัตติจตุตถกรรมนี่ไง นี่ไงนิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ เวลาบวชแล้วให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นะขาทันตา ตะโจ เธอจงประพฤติปฏิบัติขึ้นมา รุกฺขมูลฺ-เสนาสนํ เป็นสนามรบ เป็นสนามรบต่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่
แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเป็นสัจจะเป็นความจริง สนามรบคือหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้ามันหาหัวใจของตนขึ้นมา มันจะมีสนามรบ มีสถานที่สัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ถ้าหาสนามรบของตัวเองไม่เจอ มันไม่มีชัยภูมิในการต่อสู้ มันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน มันก็จับเขียดจับกบอยู่นั่นแหละ มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้หรอก แต่เวลาเป็นชิ้นเป็นอันเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” บ่วงที่เป็นโลก สิ่งที่เป็นโลกามิสทั้งหลายนี่บ่วงที่เป็นโลกแล้วไปติดมันอะไร
พระอรหันต์ไม่ทำลายศาสนา ไม่ทำลายความเชื่อมั่น ไม่ทำลายข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันเป็นความจริงในหัวใจของมันอยู่แล้ว พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกแล้วถ้าจากบ่วงที่เป็นทิพย์ล่ะ บ่วงที่เป็นทิพย์มันเห็นได้หมดล่ะ โสดาบัน ๗ ชาติสกิทาคามี อนาคามี ไม่เกิดในกามภพ แล้วเวลาทำลาย ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายจิตเดิมแท้ ทำลายทั้งสิ้นแล้วเป็นพระอรหันต์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เป็นทิพย์นี่มันเข้าใจได้หมดล่ะ
เทวดา อินทร์ พรหม ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เทวดาอินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นแล้วท่านเทศน์เรื่องอะไร เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขาก็รู้ของเขา นี่บ่วงที่เป็นทิพย์ ไม่มีบ่วงสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดจะมาเยินยอปอปั้นให้หัวใจนั้นผิดพลาดอะไรไปได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ นี่ไงองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขๆ ไง มันเป็นวิมุตติ-สุข พระปัจเจกพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข แล้วไม่ต้องเป็นภาระต้องมาให้พวกเดียรถีย์นิครนถ์ เขามากลั่นแกล้ง มาทำลายตลอดเวลา
เรื่องโลกๆ เรื่องวิทยาศาสตร์ เราเชื่อวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันเป็นสื่อสารมวลชน มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในวิทยาศาสตร์ แต่ใครใช้ล่ะ เวลาพวกที่เขาเอาสิ่งทางเป็นวิทยาศาสตร์เอามาเล่นแร่แปรธาตุ ไอ้พวกที่ไม่มีเบสิกไม่มีพื้นฐานในการเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ นี่เออออห่อหมกไปหมด หลงใหลได้ปลื้มไปกับเขา ใครใช้ ใครใช้สิ่งนั้นมาลวงโลก แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นคุณภาพชีวิต สิ่งที่เป็นปกติเรื่องการใช้สอยเป็นข้อเท็จจริง นั้นเป็นเรื่องโลกที่เป็นสิ่งเรื่องของคุณภาพชีวิต แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมาไง
นี่พูดถึงว่าเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเสวยวิมุตติสุข ถึงว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มหัศจรรย์ ครูบาอาจารย์บอกว่า “ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาก็แล้วกันแหละ” พระพุทธ-ศาสนาไม่มีสิ่งใดเคารพรูปเคารพทั้งสิ้น ไม่อาศัยใครทั้งสิ้น อาศัยแต่อำนาจวาสนาของตนไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไง อนุปุพพิกถา ถ้าเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่ก็ให้เขาทำบุญกุศลของเขาก่อน เริ่มต้นจากทำบุญทำกุศลของเขา ถ้าทำบุญทำกุศลของเขาเนกขัมมะไง เวลาจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่ไง ให้ถือเนกขัมมะ ถ้ามีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ นี่พูดถึงว่าเริ่มต้นจากว่าไม่ให้เคารพใดๆ ทั้งสิ้นไง ให้เคารพตัวตนของตนให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รัตนตรัยของเรา แล้วอยู่กับ ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันมีสิ่งใดที่จะมาหลอกมาลวงได้
แต่มันหลอกลวงได้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนไงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนมันทำให้ตัวเรารอดพ้นไปไม่ได้แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีบุญมีกุศลมาก แล้วถ้าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาเขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วไม่มีโอกาสได้นับถือพระพุทธศาสนา เห็นไหม
พระพุทธศาสนา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว“ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ อย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งสิ้น” ถ้าในมุมมองของพระอรหันต์นะ ในมุมมองของพระอรหันต์ไง ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้วเพราะการเกิดมีสถานะ มีตำแหน่ง มีหน้าที่มีการงาน ทุกข์ทั้งนั้น แต่มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของวัฏฏะ ของวัฏฏะเพราะอะไร
เพราะสัตว์โลกเกิดมา ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธ-ศาสนา แล้วถ้าเขามั่นคงในพระพุทธศาสนา เขาสร้างบุญสร้างกุศลของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เพราะบุญกุศลไง มันก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม
เวลาพวกพาลชน พวกกิเลสมันครอบงำหัวใจของมัน มันทำแต่ความพอใจของมัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นตัวเองแล้วก็ทำลายคนอื่น ทำลายไปทั้งสิ้น คิดว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับตนๆ มันเป็นประโยชน์ของกิเลสต่างหาก เพราะกิเลสมันต้องการไอ้ใจโง่ๆ อย่างนี้แหละอยู่ในอำนาจของมันไง แล้วมันยุมันแหย่ขึ้นไปก็ทำลายเขาไปทั่ว แล้วคิดว่าตนเองมีอำนาจวาสนาไง ตนเองมีอำนาจวาสนาแล้วทำบาปทำกรรมขึ้นมาแล้วมันไปไหน
เวลาเทวทัต เห็นไหม ทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิตห้อเลือด เวลาทำสังฆเภท อนันตริยกรรมๆ ไง นรกอเวจีเลย นี่ไง เวลาทำบาป ทำบาปถึงทำกับใคร ดูสิ เวลาทำร้ายพ่อทำร้ายแม่นี่ “พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” แล้วพ่อแม่ สิ่งที่ว่าให้กำเนิดชีวิตนี้มา แล้วฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็อนันตริยกรรม ดูกรรมสิ แล้วเวลามันมืดมันบอด มันทำลายไปทั้งสิ้น มันว่ามันยิ่งใหญ่ไง แล้วผลมันไปไหนล่ะ ผลมันก็นรกอเวจี เวรกรรมก็เรื่องหนึ่ง อนันตริยกรรมมันยิ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์ไง แล้วผลของมันที่มันได้ทำแล้วมันไปไหนล่ะ นี่ผลของวัฏฏะไง นี่ไง ที่ว่าถึงที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง
ถ้าจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ที่เวรกรรมของสัตว์โลกนี้ แล้วสัตว์โลกทำบุญทำบาปของแต่ละคนมาล่ะ มันถึงได้เสวยภพเสวยชาติของมันโดยตามเวรตามกรรมอันนั้นไง แล้วตามเวรตามกรรมอันนั้นเวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา การเกิด การเกิดเป็นอริยทรัพย์ ถ้าการเกิดเป็นอริยทรัพย์เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติที่ศรัทธาในชาติปัจจุบันนี้ แล้วที่มาล่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ เห็นไหม ผู้ที่ไม่มีวาสนาล่ะ เขาไม่มีวาสนา เขาไม่มีโอกาสได้นับถือพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาแล้วเพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้นับถือพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา แล้วก็มีการกระทำได้มากได้น้อยแค่ไหนล่ะ อย่าให้กิเลสมันก่อกวนสิ อย่าให้กิเลสมันย่ำยี ถ้ากิเลสมันย่ำยีแล้วมันไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นไง นี่ิทิฏฐิมานะของมัน
โดยชาวพุทธ “นรกสวรรค์มีหรือไม่ ภพชาติมีหรือไม่ มรรคผลนี่ไม่มีเลยแล้วทำไมต้องมาทุกข์มายาก ยิ่งโกงยิ่งแสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งเหยียบย่ำทำลายคนอื่นมันเป็นบุญกุศลทั้งหมดล่ะ” มันเป็นความดีของเขา เป็นความดีของกิเลสไงถ้ามันขัดแย้งกับทาน ศีล ภาวนา ระดับของทานๆ ไง ระดับของทานพวกเล่นแร่แปรธาตุเขาก็เอาเรื่องของทานมาแสวงหาผลประโยชน์กัน แล้วเวลาคนที่เขาสละทานๆ ใจเขาเป็นธรรม เขาจะทำของเขา เขายังไม่กล้าทำของเขา มันเรรวนกันไปหมดไง
เขาถึงบอกว่าต้องทำบุญกับพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์มีศีล ๒๒๗ ไม่น่าเชื่อถือ แล้วดูพระสงฆ์สิ พระสงฆ์ตัวทำลายเลยล่ะ มันทำลายตัวของมันเองเพราะเกิดทิฏฐิมานะไง ถ้ามันไม่ทำลายมันจะมีเทวทัตหรือ ถ้ามันไม่ทำลาย ในพุทธกาลจะมีฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์หรือ ถ้ามันไม่ทำลายมันจะมีวินัยมาขนาดนี้หรือ
แล้วถ้าไม่ทำลาย เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระกัสสปะจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกได้ข่าวว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว” พระกัสสปะปลงธรรมสังเวช
มันเรื่องปกติเรื่องธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราไม่ธรรมดาเพราะมันทุกข์มันยาก เพราะเราไม่ธรรมดา เพราะเราเกิดมาแล้วนี่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรายังประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาไง
พระโสดาบันอีก ๗ ชาติ อย่างน้อยโสดาบันพาดกระแส แล้วนี่มันมีอะไรบ้างเป็นหัวใจล่ะ หลงใหลไปตะครุบจับกบจับเขียดแล้วก็ว่า “สิ้นกิเลส สิ้นกิเลส” โดนกิเลสมันครอบงำ สิ้นกิเลสของใคร สิ้นกิเลสมันต้องเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไอ้นี่สิ้นกิเลส มีแต่หลอกลวงชาวโลกไง จะให้เขาเคารพนับถือ ไอ้พวกมหาโจร
ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ขึ้นมา ท่านไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้นเลย พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ มันจะมาก่อกวนเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างไรถ้ามันเป็นธรรม นี่มันเป็นกิเลสไง มันถึงเหยียบย่ำทำลายเขาไปทั่ว แล้วก็ยังยกตนข่มท่านว่าตัวเองเป็นธรรมๆ สิ้นกิเลส กิเลสอะไรของมึง! มันไม่รู้จัก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น มันไม่รู้เรื่องหรอก
แต่คนถ้ารู้ถ้าเห็นขึ้นมาแล้วถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาจนเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุข มันมีความสุขของมัน เพราะมันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ มันไม่มีบ่วง ไม่มีสิ่งใดรัดเลย
แล้วดูสิเวลามันรุ่งเรือง ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เพราะการเกิดเป็นสหชาติมหัศจรรย์ ถ้าใครเข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็เพื่อบุญเพื่อกุศลอยู่แล้ว เพราะเข้าไปใกล้แล้วนี่อนาค-ตังสญาณรู้หมดล่ะ รู้ด้วยว่าเขามีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าเขาไม่มีวาสนา แสดงธรรมอย่างไรเขาก็รู้ไม่ได้ แต่ถ้าเขาจะรู้ได้เขาต้องมีวาสนาของเขามาไง
พระอรหันต์แสนกัป แล้วถ้าไม่ได้สร้างบุญกุศลมามันเหลวไหลจับกบจับเขียดตะครุบอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กบเขียดถ้าตะครุบได้มันยังเป็นอาหารหรือเป็นสินค้า การนำมาเป็นอาหารก็ฆ่าสัตว์ ผิดศีล แล้วตะครุบได้นี่โดยธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทดสอบ เขาทำวิจัย เขาจับสัตว์อะไรมาเขาวิจัยแล้วเขาก็ปล่อย เขาไม่ฆ่ามัน เพราะมันมีคุณค่า สายพันธุ์ของมัน เขาดูแลเพื่อประโยชน์สภาวะแวดล้อม เพราะมันเป็นห่วงโซ่ของสิ่งมีชีวิต เขาไม่ทำ เขาก็ศึกษาวิจัยค้นคว้าของเขาเท่านั้น
ไอ้นี่มันจับกบจับเขียด แล้วยังดีอกดีใจของตน มันจะมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มันไม่มี ไม่มีเพราะอะไรล่ะ มันไม่มีเพราะว่าอำนาจวาสนาของเขา ทั้งๆ ที่เขาเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วบวชเป็นพระนี่เป็นนักรบจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน แล้วมันได้รบหรือไม่ล่ะ มันแสวงหาอะไรกัน แสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ แล้วแสวงหา นี่ธรรมทูตๆจะเผยแผ่ธรรมๆ เผยแผ่ตัวเองให้ได้ก่อน ปฏิบัติให้ได้ก่อน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมา ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะบริวารของยสะ เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น “เธอกับเราทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์” เวลาเผยแผ่ไปมันถึงจะเป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์ อะไรก็ได้ ถามมา อะไรก็ได้ พระอรหันต์มีความสงสัยอะไรในหัวใจบ้าง พระอรหันต์รู้ในอะไร รู้ในอริยสัจ พระอรหันต์ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในสมมุติบัญญัติ เพราะสมมุติมันกะล่อน มันปลิ้นปล้อน มันเปลี่ยนไปทุกวัน
แต่ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง คนที่มันทุกข์มันยากเขาต้องการมรรคต้องการผล ต้องการอริยสัจ ต้องการความจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมันทุกๆ ประการ พระพุทธศาสนาไม่มีของฟรี มีแต่บุญและบาปที่ตนได้สร้างมาและจะสร้างต่อไป แต่ถ้าทำตามความเป็นจริงขึ้นมา เรามีวาสนา เราจะประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะคนที่มีบุญยิ่งใหญ่
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีบุญยิ่งใหญ่นัก นี่มาเกิดกึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วใฝ่การประพฤติปฏิบัติไง ดูประวัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ ๑๐ ปีของหลวงปู่เสาร์เริ่มต้นที่เป็นมหานิกาย ละล้าละลังๆ อยู่อย่างนั้น แต่พอปักใจเอาความจริงขึ้นมา เห็นไหม ก็ไปได้หลวงปู่มั่นมา แล้วปฏิบัติเริ่มต้นมันทุกข์มันยากขนาดไหนนี่มันทุกข์มันยากทั้งนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ๖ ปีมันทดสอบหัวใจของตนไง นี่ ๖ ปีทดสอบหัวใจของตน แล้วทำกับเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ศึกษาค้นคว้ามาขนาดไหน ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาก็สำมะเลเทเมาจับกบจับเขียดไปอยู่กับเขานะ แต่นี้เพราะว่ามันไม่ใช่ มันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันก็เรื่องการทำความสงบของใจ แล้วใจของคนมีบุญมีบาป มันก็สร้างเวรสร้างกรรมของเขามา เขาก็จะประพฤติปฏิบัติมาทั้งนั้น
ในสหชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมามากน้อยขนาดไหน เวลาเกิดแต่ละภพแต่ละชาติ พระเวสสันดรต่างๆ มันก็เป็นภพเป็นชาติหนึ่ง แล้วเขาทำมามากมายมหาศาลขนาดไหน แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติมาที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา เขาจะทำอย่างไร เพราะเขาไม่มีวาสนาของเขา เขาก็ทำไปตามกระแสสังคม กระแสบุญบาปในหัวใจของเขา มันก็เท่านั้นแหละสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ จะอภิญญาต่างๆ มันก็เป็นเรื่องโลกียปัญญา เรื่องของโลกเรื่องของฌานโลกีย์ โลกีย์คือโลก โลกคือวัฏฏะไง ถ้าไม่มีวาสนา
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วมันมีคุณค่ามาก แล้วเราก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ไงเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ผู้มีบุญมีกุศลเกิดขึ้นมานี่กึ่งกลางพระพุทธ-ศาสนา แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นมันล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ขนาดมีบุญมีวาสนาขนาดนั้นนะ แล้วเวลาท่านเอาจริงเอาจังของท่านเพราะท่านมีบุญมีวาสนาของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านขึ้นมาจนท่านเป็นพระอรหันต์ๆ
คำว่า “พระอรหันต์” คือมันชี้หน้ากิเลสได้หมดล่ะ มันชี้หน้ากิเลสได้หมดแล้วมันต้องมี เห็นไหม มีมรรคมีผล มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยสัจจะโดยความจริงในหัวใจของท่าน ท่านถึงได้ชี้หน้ากิเลส แล้วทำลายกิเลสอวิชชาในใจของท่านสิ้นไป แล้วท่านอบรมบ่มเพาะมาเป็นธรรมทายาทๆ เป็นเพชรน้ำหนึ่งในลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มากมายมหาศาลเพราะอะไร
เพราะเขาได้สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา ถ้าไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมามันไม่ฟัง มันไม่เชื่อ ไอ้คำว่า “ฟังและเชื่อ” มันเป็นเรื่องศรัทธา เรื่องส่วนตัวเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่คำว่า “วาสนา” มันลงๆ นะ ดูหลวงปู่ฝั้นท่านเป็นมหานิกายท่านก็ฟังเทศน์จากหลวงปู่ดูลย์มา เวลาไปศึกษาค้นคว้ากับหลวงปู่มั่น ท่านเมตตาท่านคุ้มครอง ท่านดูแล มันเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมได้สร้างอำนาจวาสนามามันเป็นธรรม คำว่า “เป็นธรรม” มันเข้ากัน มันซาบซึ้งในใจไง ท่านอบรมบ่มเพาะท่านสั่งสอนให้ทำความสงบใจเข้ามา ก็พยายามฝึกหัด แล้วทำความสงบใจเข้ามาได้ด้วย
แล้วจะแทนคุณท่านบ้าง เพราะมหานิกาย ธรรมยุต มันเป็นนานาสังวาสนานาสังวาสอยู่ด้วยกันไม่ได้ กินด้วยกันไม่ได้ ท่านถึงได้ตัดสินใจญัตติเป็นธรรมยุต เพื่อ! เพื่อได้อุปัฏฐากท่านบ้าง เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาๆ น้ำร้อนก็ถวายท่านไม่ได้ เวลาพวกเรื่องยาเพื่อจะอุปัฏฐากท่านทำไม่ได้
นี่ไง หัวใจของคนที่มันเป็นธรรมๆ มันเห็นบุญเห็นคุณ มันไม่ใช่บุญคุณเรื่องวัตถุ มันบุญคุณด้วยหัวใจ หัวใจด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการเอื้ออาทร ด้วยน้ำใจ เพราะจิตตภาวนาเขาต้องเอาหัวใจ เอาจิตของเขาประพฤติปฏิบัติ
คนเกิดมามีกายกับใจ ร่างกายมีโดยทั่วกันทั้งสิ้น เกิดมาเป็นมนุษย์มีเหมือนกันหมด แล้วมนุษย์ที่มีเหมือนกันหัวใจของเขาถ้ามันไม่เป็นธรรม เขาก็เป็นอันธพาล เขาเบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น ไปสร้างเวรสร้างกรรมก็ผลของวัฏฏะต้องตอบสนองเขา กรรมให้ผลแล้ว กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา แล้วอย่าดีดดิ้น ทำดีแล้วไม่ได้ดี ดีอะไรของเอ็ง ดีหน้าไหว้หลังหลอก ดีพลิกแพลงอยู่อย่างนั้น อะไรมาดี ความดีมันต้องซื่อสัตย์สิ ไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง ความลับไม่มีในโลกตัวเองทำ ตัวเองรู้อยู่เต็มหัวใจ เราเป็นคนดี
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ “ทำไมเราโง่ขนาดนี้” โง่ขนาดนี้คือเราโง่เง่าเต่าตุ่นจับกบจับเขียด โง่กับกิเลสของตนให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย กิเลสเหยียบย่ำทำลายตัวเอง โง่จนไม่รู้จักตัวเองแล้วยังแสดงออกด้วยอำนาจบาตรใหญ่ มันบาดหูบาดตาคนที่เป็นธรรม นี่ถ้ามันไม่จริงไง
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ด้วยอำนาจวาสนามันเห็นบุญเห็นคุณ ญัตติเป็นธรรมยุตเลย เพื่อจะได้มาอุปัฏฐากท่านบ้างเวลาอุปัฏฐากท่านบ้าง อยู่อบรมบ่มเพาะมากับท่านด้วยมีอำนาจวาสนา
ถ้ามันเป็นกึ่งกลางพระพุทธศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” เวลาเจริญขึ้นแล้ว มันก็มีผู้นำก่อนๆ หลวงตา-พระมหาบัวพูดถึงหลวงปู่มั่น โรงงานผลิตพระอรหันต์โรงงานใหญ่คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ผลิตพระอรหันต์ ผลิตที่ไหน ผลิตที่แบบอย่างที่ท่านทำให้เห็น
แล้วเวลาคนที่เป็นธรรมมันไปเห็นแล้วมันซาบซึ้ง หลวงปู่พรหมเวลาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง ที่เชียงใหม่ “โอ้โฮ! ชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ ท่านร่ำลือนะ” หลวงตาพระมหาบัวท่านพูด ท่านได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวชแล้วบวชแล้วไปศึกษาก่อน ศึกษาค้นคว้าแล้วเวลาจะออกบวช“แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” เห็นไหม คนมีวาสนาขนาดไหนก็แล้วแต่ กิเลสที่มันร้ายกาจนี่มันบิดมันพลิ้ว มันจะพยายามปิดกั้น
ถ้าเป็นชาวพุทธก็ให้เป็นชาวพุทธตามประเพณีเท่านั้น ทำบุญทำบาปมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็อยู่ในอำนาจของเขา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยวาสนาของตนจะได้เป็นจริงเป็นจังมากน้อยขนาดไหนมันยังบอก “แล้วถ้าไม่มีล่ะ” ทั้งๆ ที่สร้างอำนาจวาสนามาทั้งๆ ที่ได้สร้างคุณงามความดีมา
หลวงปู่มั่นเวลาท่านบวชแล้ว ทุกข์ยากขนาดไหน ประวัติหลวงปู่มั่นนั่นน่ะเวลาทุกข์ยากขนาดไหน ถ้าเป็นจริงเป็นจัง ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของท่าน แล้วเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานี่กึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งเจริญเพราะว่าด้วยสายบุญสายกรรม ด้วยคนที่สร้างเวรสร้างกรรมมาเกิดร่วมกันพอเกิดร่วมกันขึ้นมาแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเข้ากันๆ ไง ทั้งจริตนิสัยอำนาจวาสนามันต่อเนื่องกันไป
เวลาต่อเนื่องขึ้นไป กึ่งกลางพระพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีอำนาจวาสนาอบรมบ่มเพาะๆ ขึ้นมา นี่เพชรน้ำหนึ่งๆ ธรรมทายาทมันเป็นรุ่น ๒ รุ่น ๓ ขึ้นมามันถึงสืบต่อๆ ให้ความมั่นคงไง
แต่ถ้าเป็นบุคคลคนหนึ่งมันก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่นี้มันสืบต่อมา สืบต่อมาจนมั่นคง แล้วมั่นคงต้องมีอำนาจวาสนาด้วย ไม่มีวาสนามันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อแล้วมันทำลาย พอมันทำลายขึ้นมาแล้วมันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง
แต่ถ้าเป็นชิ้นเป็นอัน ทำไมถึงเป็นชิ้นเป็นอันล่ะ เป็นชิ้นเป็นอัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนนะ สอนให้ทำความสงบใจเข้ามาก่อนๆ เวลาถ้าทำความสงบใจเข้ามาได้ คนที่มีวาสนานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ถ้าจิตสงบขึ้นมานี่ เวลาจิตสงบแล้วมันว่านั่นคือนิพพาน ถ้าไม่นิพพาน เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “พวกนี้พวกติดสมาธิ” มันติดสมาธินะ เพราะไม่มีวาสนาไม่เข้าใจ แล้วไม่มีกำลังที่จะทำให้มันก้าวหน้าไปกว่านี้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันติดในสมาธิก็ฤาษีชีไพรไง ก่อนพุทธกาลก็มีอยู่แล้ว ในสมัยพุทธกาลเขาก็ประพฤติปฏิบัติกันอยู่แล้ว แล้วเวลาปฏิบัติแล้วกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยคก็วนเวียนในวัฏฏะ นี้ผลของวัฏฏะ บุญและบาป ดีและชั่ว ถูกหรือผิด มันก็วนอยู่ในวัฏฏะไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา แล้วทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาเกิดจากอะไร เกิดจากองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจ อานาปานสติก่อน เพราะจิตมันต้องสงบระงับ ละโลก ละโลกคือละชีวิตไง ละภพชาติละหัวใจของตนที่มันเป็นสมมุติบัญญัติที่เกิดเป็นมนุษย์ไง สิทธิ-เสรีภาพ ความคิดความเห็นของตนนั่นน่ะ เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยากของมัน
เวลามาบวช เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช ๖ ปี ๖ ปีพยายามประพฤติปฏิบัติทั้งหมด พยายามจะแสวงหาค้นคว้า ไปศึกษากับใครทั้งสิ้นก็อบรมบ่มเพาะสั่งสอนมาหมดสิ้นแล้ว ไม่ใช่! เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ กำหนดอานาปานสติเป็นสัมมาสมาธิเป็นสมาธิเข้ามา สมาธิก็คือสมาธิ สมาธิมันยังรู้ได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกอดีตชาติได้อนาคตก็รู้ได้ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างสมมา ๔อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
แต่เราเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา อาสวักขยญาณครับ อาสวัก-ขยญาณประกอบไปด้วยอะไร สมาธิชอบ สติชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ มรรค ๘ ความเป็นมรรค ๘ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะจิตเวลามันไปตามกำลังของมัน อดีต อนาคตไม่ใช่ แล้วปัจจุบันอย่างไร
เวลาในสมัยปัจจุบัน เห็นไหม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนให้ทำข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม วัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติมันเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นั่นแหละกิเลสคือคู่เจรจา กิเลสคือคู่เจรจา ถ้าทำความสงบของใจเป็น ถ้าทำสมาธิเป็น กิเลสคือคู่เจรจา เจรจาอะไร การเจรจาไง นี่ไง ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาอะไร ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงมันก็เห็นกิเลสไง
กิเลสเป็นคู่เจรจานะ แล้วเจรจากับกิเลสเจรจาได้หรือไม่ เจรจาเป็นหรือเปล่าถ้าเจรจาแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ แล้วเจรจา เราตกลงกันได้หรือไม่ได้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็พ่ายแพ้อยู่นั่นไง แล้วเห็นกิเลสไหม เวลาคนที่ปฏิบัติไม่เป็น หรือปฏิบัติไม่ได้ เขาก็บอกว่า “กิเลสเป็นนามธรรม จะไปเห็นมันได้อย่างไรเป็นนามธรรม” ชัดๆ ไม่มีคู่เจรจา พูดอยู่ฝ่ายเดียว นี่ไง พูดอยู่ฝ่ายเดียวใครก็พูดได้ เอ็งก็พูดไปสิ
แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง การเรียนการศึกษาการค้นคว้าไง เวลาเรากรรมฐาน กรรมฐานเวลาบวชแล้ว อุปัชฌาย์ให้มาแล้วเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ กรรมฐาน ๕ แล้วกรรมฐาน ๕ ทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นความจริงหรือไม่ ถ้ามันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงขึ้นมาในภาคปฏิบัติไง
ภาคปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็มีการศึกษา ท่านก็ค้นคว้า แล้วเวลาค้นคว้าขึ้นมามันต้องค้นคว้าตามข้อเท็จจริง เวลาค้นคว้าขึ้นมานี่ภาคปริยัติหลวงตาพระมหาบัวท่านเรียนจบมหา ๓ ประโยค นี่ภาคปริยัติ แล้วเวลาจะออกประพฤติปฏิบัติ “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ”
นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติโรงงานใหญ่ที่ฝ่ายปรึกษาในการประพฤติปฏิบัติก็เจ้าคุณอุบาลีฯ ไง สิ่งที่ศึกษาศึกษาค้นคว้า วัดสระปทุมไง เวลามีปัญหาท่านก็ศึกษาค้นคว้าของท่านนี่ภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติ เห็นไหม เวลาเรานี่กิเลสคือคู่เจรจา เราเห็นกิเลสไหม แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงเป็นจังท่านเห็นของท่าน ท่านต้องรู้จักกิเลสของท่านถ้าคนไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นกิเลส แล้วมันจะไปชำระล้างอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ นี่อดีตและอนาคต เวลาจิตมันสงบแล้วเวลามันออกใช้ปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญาที่ไหน มันไม่มีคู่เจรจา ไม่มีคู่เจรจาคือไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดไง ความคิดทั้งหมดนี่เป็นสมุทัย ผลของสมุทัยคือทุกข์ ความคิดทั้งหมด ความคิดทั้งหลายจะคิดเมื่อไร คิดในสมาธิ คิดนอกสมาธิ คิดตรงไหน
ความคิดเกิดจากจิต จิตมีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ มันไม่รู้ตัวของมันเวลามันคิด มันคิดไปโดยความพลั้งเผลอ มันก็คิดไปแล้ว แล้วคิดเรื่องอะไร คิดเรื่องธรรมะๆ ไง นี่ตรึกในธรรม ตรึกในธรรม ความคิดทั้งหลายทั้งปวงเป็นผลของสมุทัยคืออวิชชา ผลของมันเป็นทุกข์ “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด” เวลามันหยุดของมันไง “จิตเห็นอาการของจิตเป็นมรรค ผลจากการจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ” ดับทุกข์ ขณะ ชัดเจน ถ้ามันรู้จักกิเลสมันเห็นกิเลสของมันไง กิเลสคือคู่เจรจา
แต่ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นล่ะ มันปฏิบัติไม่เป็นล่ะ กิเลสมันขี่คอไง จับเขียดจับกบอยู่นั่นแหละ จับเขียดจับกบมันยังเป็นเขียดเป็นกบนะ ไอ้นี่กิเลสมันพลิกมันแพลงมันหลอกมันลวง มันทำลายตลอดเวลา ถ้ามันทำลาย เห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง ครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะท่านสอนมา กิเลสคือคู่เจรจา แล้วเอ็งจะเจรจาอย่างไรล่ะ เอ็งจะเริ่มต้นอย่างไร ใครจะเจรจากับเอ็ง
กิเลสเป็นเจ้าวัฏจักร ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ การประพฤติปฏิบัติที่มันไม่ได้ผลเพราะกิเลสของเราต่างหาก กิเลสของคน อำนาจวาสนาของคนอ่อนแอ ไม่มีวุฒิภาวะ แล้วไม่มีมาตรฐาน นี่ทำสมาธิๆ ทำสมาธิไม่เป็นก็สอนสมาธิได้ ทำสมาธิไม่เป็นแล้วมันเป็นสมาธิได้อย่างไร แล้วเวลาทำสมาธิๆ ใครให้ทำสมาธิล่ะ
ในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องสัจจะเรื่องความจริง แล้วความจริง เห็นไหม นี่บุคคล ๔ คู่ ความจริงมันยังแบ่งเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่คู่ที่ ๑ เขาเห็นกิเลส เขาจับกิเลส แล้วเขาเจรจาต่อรองกิเลส พิจารณา เวลาพิจารณาคู่ที่ ๑ ถ้าคู่ที่ ๑ ถ้าพิจารณาไปแล้วถ้ามันไม่สิ้นสุดของมัน การเจรจานั้นเจรจานั้นล่มสลาย การเจรจานั้นไม่เกิดผลประโยชน์ใดทั้งสิ้น แล้วไม่เกิดผลประโยชน์แล้วกิเลสพลิกแพลงขึ้นมามันก็ถอยร่นลงไปเป็นปุถุชนคนหนา เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เข้าคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ หรอก
แล้วแต่ละคู่มันยังมีความลึกลับซับซ้อนต่อไป นี่กิเลสคือคู่เจรจา แล้วถ้ามันจับกิเลสได้ แล้วมันมีพิจารณาของมันได้ การเจรจามันยังต้องต่อเนื่องซับซ้อนไปนี่หลวงปู่มั่นไง “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” หลวงปู่มั่นจะแก้อยู่นี่ไง แล้วท่านก็แก้จิตของลูกศิษย์ลูกหา นี่ไง ถึงว่าโรงงานผลิตพระอรหันต์ โรงงานผลิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา
พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าเป็นผู้อบรมบ่มเพาะ เวลาอบรมบ่มเพาะขึ้นมา เวลา ๖๐ องค์ไง “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” ๖๐ องค์ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจบ อย่างไรเขาก็รู้แจ้งของเขาเพราะเขารู้แจ้งในใจของเขา เพราะเขาเห็นกิเลส เขาได้เจรจา เขาได้กำจัด เขาได้ชะล้าง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเราเราไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในหัวใจของเราไม่ได้เลย” ไอ้นี่มันการเยาะเย้ยไง แต่ตอนที่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชานั่นน่ะ ครอบครัวของมาร มันมหัศจรรย์ขนาดไหน ความมหัศจรรย์ขึ้นมาเพราะอะไร
ไก่เจาะฟองอวิชชาไง ไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ดอกบัวบานท่ามกลางหัวใจ ความเสวยวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขเพราะอะไร สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่ดำรงชีวิตอยู่ยังมีชีวิตอยู่ไง พอยังมีชีวิตอยู่ วิมุตติสุขมันบานดอกบัวบานท่ามกลางหัวใจ เวลาอรุณขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มหัศจรรย์มีความสุข แล้วสุขแบบวิมุตติสุขไม่ใช่เรื่องโลก
เรื่องโลกไม่ต้องมาพูดกัน เรื่องโลกเป็นเรื่องของโลก ไม่มีความจริงหรอกจับกบจับเขียดอยู่นั่น เวลาสุขก็สุขแบบจับกบจับเขียด เดี๋ยวก็เจริญ เดี๋ยวก็เสื่อมอยู่อย่างนั้น นั่นก็เรื่องของโลกเพราะมันไม่เข้าสู่ธรรมหรอก โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกีย-ปัญญาทั้งหลาย โลกียปัญญาทั้งสิ้น ไม่มีโลกุตตระแม้แต่ขี้เล็บขี้ผง จับกบจับเขียดมันจะเป็นโลกุตตระได้อย่างไร
กิเลสคือคู่เจรจา ถ้ามันรู้เห็นกิเลสนั่นแหละ นั่นแหละโลกุตตระเกิดตรงนั้นโลกุตตระในพระพุทธศาสนาไง นี่ไง ในพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาคือภาวนา-มยปัญญา
ในความเชื่อในศรัทธาในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อรูปเคารพใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่อเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น เพราะจะเป็นสิ่งมีชีวิตในวัฏฏะนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะหมด ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีเพราะถ้าไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มี มันมีวาระ มันเปลี่ยนแปลงตลอด แล้วการเปลี่ยนแปลงตลอดมันไปทั้งดีและชั่ว มันไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะความจริง
เว้นไว้แต่รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ต่างหาก เวลากราบธรรมๆ ขึ้นมา แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม รัตนะสอง ก็กราบธรรมในคุณธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาหัวใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา คุณธรรมอันนั้นมันก็เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา นี่ไง “เธออย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมอยู่ไหนล่ะ จับกบจับเขียดอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันๆ เพราะอะไร เพราะว่าอ่อนแอไม่มีวาสนา ถ้ามันมีวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ ใครที่มีอำนาจวาสนาแล้วอายุเขาน้อยเอาเขาก่อน ถ้าไม่เอาเขา เขาตายจากภพชาตินี้ไปแล้วมันจะหมดโอกาสไง
เราชาวพุทธ เราก็ตั้งใจกันไว้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เราก็จะสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าตายไปก็เกิดให้มันมีจริตนิสัยส่งเสริม ส่งเสริมให้เราประพฤติปฏิบัติให้อย่างน้อยจิตนี้พาดกระแส อย่างน้อยถ้าเป็นโสดาบันมันพาดกระแสแล้ว จิตดวงนั้นต้องสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปในอนาคตเด็ดขาด แต่ถ้ามันยังไม่พาดกระแส น่ากลัวผลของวัฏฏะๆ ไง ผลของวัฏฏะเดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย แล้วกิเลสมันยุมันแหย่ไง แล้วเวลา ดูสิ คนดีๆ นี่แหละอารมณ์ชั่ววูบทำร้ายเขาไปแล้ว ทำลายเขาไปแล้ว นั่นเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ทั้งสิ้น
แล้วจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ วัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่สำคัญมาก คำว่า “สำคัญมาก” เพราะเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจใจมันดิ้นมันรน มันดีวันหนึ่งดี ๕ นาที ร้าย ๒๔ ชั่วโมง ร้ายกาจนัก การประพฤติปฏิบัติสิ่งที่กีดขวางอยู่คือกิเลสในใจของคน ในใจของเราทั้งสิ้น เราทำแล้วไม่ได้ผล ไม่ได้สิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เพราะกิเลสในใจของเราทั้งสิ้น แล้วควบคุมมันไม่ได้ไง
เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ข้อวัตรปฏิบัติ ให้เป็นเครื่องอยู่ แล้วถ้ามันสงบระงับแล้วมันวางอารมณ์อย่างไร มันประพฤติปฏิบัติอย่างไร ให้ชำนาญในวสีชำนาญในวสีคือการเข้าการรักษาสมาธิของตนไง ถ้ารักษาสมาธิของตน รักษาๆสมาธิของตนในความชำนาญของตน ในการประพฤติปฏิบัติทำซ้ำๆ เพื่อฝึกหัดให้มันมีความชำนาญของมัน
ถ้ามันมีความชำนาญของมันแล้วเราน้อมไป เราพยายามน้อมไปพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมของเรา ถ้ามันพิจารณาได้ ถ้ามันน้อมไปได้ เห็นไหม ถ้ามันน้อมไปได้มันเห็นสัจจะความจริง นั่นล่ะกิเลสคือคู่เจรจามันจับมันต้องของมันได้ ถ้ามันจับมันต้องของมันได้ ถ้าจับต้อง ถ้ามีวาสนาบารมีมันก็จับต้องของมัน เห็นไหม
เวลามันเห็นกาย เวลากาย กายมันคงที่ก็ได้ ถ้ากำลังไม่พอกายมันไหล ภาพมันไหล เวลาภาพมันไหล ภาพมันเอียง ภาพมันไม่คงที่เพราะอะไร สมาธิไม่พอสมาธิไม่พอ เรากลับมาที่สมาธิสิ ถ้าเพราะมันมีสมาธิไง นี่ไง ที่ว่าไอ้หลับตาลืมตามันหลับตาลืมตาที่ไหน แล้วถ้ามันเห็น มันเห็นอย่างไร เวลาวิปัสสนา วิปัสสนาตรงไหน นี่วิปัสสนาๆ ด้วยจักขุญาณ วิปัสสนานี่จิตแก้จิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันเป็นสัจจะความจริง เวลามันจับ จับของมันได้ มันพิจารณาของมัน นี่คู่เจรจา แล้วมันยอมเจรจากับเราไหม มันไม่ยอมเจรจาเพราะอะไร
คนเขาจะเจรจากัน เขาเจรจาในระดับพื้นเดียวกัน นี่คู่เจรจามันต้องมีกำลังแล้วมีความเคารพกัน มีความเกรงใจต่อกัน มันถึงจะเจรจากัน ทางโลกเราเป็นบุคคลล้มละลาย เราไม่มีสิทธิ์เลย บุคคลล้มละลายตอนนี้ ๓ ปี ๓ ปีพ้นภาวะล้มละลาย แล้วพ้นภาวะล้มละลายแล้วก็ต้องทรัพย์สิน เวลาก่อนล้มละลายได้ไปซ่อนทรัพย์สินไว้ไหนไหม โยกย้ายทรัพย์สินหรือเปล่า พอพ้นจากล้มละลายจะเอาทรัพย์สินของตนคืนหรือ แล้วคนล้มละลายจะไปเจรจากับใคร
สมาธิล้มละลายจะหลับตาลืมตาไม่เกี่ยว ชำนาญในวสีของตน มีชำนาญของตน หลวงปู่มั่นเป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ “จิตเป็นอย่างไรๆ จิต จิตสงบไม่สงบ” เพราะคำว่า “สงบ” มันต้องมีวัตรปฏิบัตินี่ไง เป็นเครื่องอยู่ของใจเพราะอะไร เวลาเป็นสมาธิแล้วเสื่อม เวลาจิตเสื่อมคนภาวนาเขารู้ จิตเสื่อมนี่โอ้โฮ! มันทรมานมากมันทุกข์มันยาก มันทั้งวิตกทั้งวิจารณ์ ทั้งเสียดาย ทั้งคับแค้น ทั้งโทษตัวเอง ทั้งโทษคนโน้น โทษไปหมดล่ะ เวลาจิตมันเสื่อม ถ้ามันจะเสื่อมให้มันเสื่อมไป
หลวงตาพระมหาบัวท่านจิตเสื่อม แล้วท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง เวลาขอให้หลวงปู่มั่นแก้ไง “จิตนี้มันเหมือนเด็กๆ มันต้องการอาหาร แล้วถ้าเราไปตามเด็กนั้น เด็กมันจะงอแง แล้วมันไม่เข้าใกล้ แล้วมันกระฟัดกระเฟียด เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เราหาอาหารไว้เผื่อมัน ถ้ามันหิวมันจะกลับมาหาอาหารเอง ให้กำหนดพุทโธไว้ พุทโธๆๆ พุทโธไว้ พุทโธไว้” ท่านบอกว่าพุทโธเพราะมันเสื่อมไง มันทุกข์มันทรมานมาก เวลามันพุทโธๆๆ นี่ท่านบอกเลย ๓ วัน ๔ วันมันฟื้นมาไง คือจิตมันกลับมากินอาหารไง กลับมากินอาหารมันกลับมาอยู่กับพุทโธ
แต่เดิมกำหนดไว้เฉยๆ ไปทำกลดหลังเดียวเสื่อมหมดเลย ขนาดรู้ว่าเสื่อมด้วยนะ พอจิตมันจะเสื่อม ทิ้งเลยนะ รีบทำให้จบ ทีแรกก็ทำกลดเหมือนธรรมดาธรรมดาของนักปฏิบัติเขาจะมีสติรอบคอบ จะทำอะไรมันจะสวยงามเพราะทำด้วยสติ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ไม่ได้จับกบจับเขียดอะไรมาประกอบ ประกอบให้มันเสร็จ อันนั้นถ้ามันเป็นความมักง่าย เป็นความเคยชินแล้วมันจะทำให้จริตนิสัยเป็นอย่างนั้น
เวลาผู้ที่ปฏิบัติเพราะสติมันสมบูรณ์อยู่แล้ว เวลาทำก็ตั้งใจทำ พอตั้งใจทำมันไปอยู่ที่นั่นหมดเลย แล้วมันเสื่อมหมดเลย เสื่อมหมดเลยท่านก็แสวงหาไปหาหลวงปู่มั่นนี่แหละ ถ้าจิตมันเสื่อม จิตมันเหมือนเด็กๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่คือปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาทำสมาธิได้ยาก เพราะอะไร เพราะตา หู จมูก ลิ้นกายและหัวใจ หัวใจมันเคยอะไร เคยชินกับอะไร นี่ไง พระบวชใหม่ๆ เห็นไหมนิสัยฆราวาสมันติดมา นิสัยคือความเคยชิน
แล้วเวลาบวชเป็นพระแล้วสมณสารูป ยืนฉันก็ไม่ได้ เสียงดังก็ไม่ได้ นั่งรัดเข่าก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเสขิยวัตรไง นี่เสขิยวัตร ๗๕ ข้อนี่ผิดหมดล่ะ ไม่ได้ๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่เวลาผู้บวชใหม่แล้ว ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านก็รู้ว่าเป็นผู้บวชใหม่เขาเคยชินของเขามา ก็ต้องปรับปรุงของเขามา นี่ก็เหมือนกันผู้ที่ปฏิบัติปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนานี่ทำสมาธิได้ยาก อย่ามาขี้โม้ว่าใครคนนั้นทำได้ คนนี้ทำได้ทำได้น่ะละเมอเพ้อพกจับกบจับเขียดอยู่นั่นล่ะ
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงคนที่เขาภาวนาเขามีสติ ต้องมีสติ ต้องมีคำบริกรรม ถ้าไม่มีคำบริกรรม จิตมันอยู่ได้อย่างไร นวกรรม คนไม่ทำงานมันจะมีผลงานอะไร คนไม่ตักน้ำดื่มมันจะมีน้ำที่ไหนดื่ม คนจะดื่มน้ำมันก็ต้องตักน้ำดื่ม คนจะกินอาหารมันก็ต้องมีสำรับอาหาร มันไม่มีสำรับอาหารมันจะกินอาหารได้อย่างไรหัวใจที่มันจะเข้าสู่สมาธิ หัวใจที่มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องมีคำบริกรรม มันมีนวกรรม
ถ้าไม่มีมันขาดบริกรรม จับกบจับเขียดแล้วก็ว่ามีของตน แล้วก็ทำสมาธินะแล้วไม่รู้จักเข้าจักออก ไม่รู้จักเป็น มันไม่เป็นอะไรเลยหรือ ถ้ามันจะเป็น เห็นไหมนี่ปุถุชนคนหนา แล้วปุถุชนคนหนาเวลาพิจารณานะ ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันไล่กัน ปัญญาอบรมสมาธิมันพิจารณาจิตตลอดเวลาด้วยตรึกในธรรม คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราศึกษาค้นคว้านั่นแหละ แล้วเวลาเราเทียบเคียงของเรา เห็นไหม กิเลสมันสู้ธรรมะไม่ได้หรอก
ธรรมะ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ายอดเยี่ยม เพราะธรรม คำว่า “ธรรม” คือการแสดง-ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากหัวใจที่วิมุตติสุข หัวใจที่เป็นธรรมมันเหนือกิเลสอยู่แล้ว เพราะท่านฆ่ากิเลสแล้วเพราะท่านเห็นหมดแล้ว กิเลสคือคู่เจรจา แล้วท่านได้ประหัต-ประหารมันสิ้นไปจากใจของท่านแล้ว แล้วท่านแสดงธรรมไว้ กิเลสมันจะมาต่อกรได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่! แต่กิเลสของเรามันเต็มหัวใจไง แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือสัญญาคือจำได้หมายรู้มา แล้วเรามีสติสัมปชัญญะเราก็ตรึกในธรรมได้ พอตรึกในธรรม ผลของมัน แล้วตรึกในธรรมถ้ามันเท่าทันแล้วมันก็หยุด หยุดบ่อยครั้งเข้าๆ แล้วถ้ามันน้อมไป น้อมไปเห็นกิเลสไง กิเลสคือคู่เจรจา แล้วเจรจากับมันเป็นหรือเปล่า เจรจาคือวิปัสสนา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานทำความสงบของใจไม่ได้ ทำสมาธิไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ได้เจรจา
เวลาเจรจานะ บุคคลล้มละลายก็ไม่มีสิทธิ์เจรจา แล้วทางโลกตอนนี้เขามีนิติบุคคล นิติบุคคลมันตั้งบริษัทของมัน นิติบุคคล มันก็มีสิทธิ์ของมันตามนิติบุคคล นิติบุคคลคืออะไร คือปริยัติไง ศึกษาค้นคว้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้หมด เข้าใจหมด เป็นนิติบุคคล นี่เหมือนกัน ไอ้หลับตาลืมตามีแต่เขียนบาลี วิจารณ์บาลี นั่นน่ะนิติบุคคล จะไม่มีทางได้เห็นกิเลสไม่มีทาง ถ้าเป็นกิเลส กิเลสของใคร ศึกษาค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มาวิเคราะห์วิจัย นิติบุคคลมันต้องตั้งตัวแทนไง
บริษัทมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นนิติบุคคล ตั้งขึ้นมาตามกฎหมาย แล้วจะไปเจรจากับใคร มันเป็นเอกสารมันจะไปเจรจากับใครได้ มันก็ต้องแต่งตั้งตัวแทนใช่ไหม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แหม! วิเคราะห์วิจัยธรรมะ “อู้ย! สัมโพชฌงค์ โอ้ย! เทวะเดวะ ๒ กามสุขัลลิกานุโยค” ไม่ได้! ไร้สาระ! จับกบจับเขียดยังดีกว่าด้วย ไอ้นี่มันมีแต่กระดูกกบกระดูกเขียด ไม่ได้เขียด ไม่ได้เนื้อเขียดด้วย
เพราะมันเป็นนิติบุคคล มันไม่มีจิต มันไม่มีสมาธิ มันทำสมาธิไม่เป็น แล้วมันดูถูกดูแคลนความเป็นไปของนามธรรม แล้วกิเลสเป็นนามธรรมด้วยนะ แล้วไม่มีนะ แต่ความรู้เขามี นั่นน่ะไม่เคยเห็นกิเลสเลย ถึงบอกกิเลสเป็นนามธรรมไง พวกนิติบุคคลที่ไม่มีโอกาสได้เจรจา คือยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ ไม่มีโอกาสเจรจาเพราะไม่เคยเห็นกิเลส แล้วไม่รู้จักกิเลส เพราะการประพฤติปฏิบัตินี้เป็นเรื่องของนามธรรมทั้งสิ้น เป็นเรื่องของหัวใจ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันไม่ใช่เป็นที่ปากกาดินสอ เป็นที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เราศึกษา เราค้นคว้าเป็นภาคทฤษฎี นิติบุคคล จิตของเราต่างหากๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาแสดงธรรมๆ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาแสดงธรรมแล้วเขารู้ไม่ได้หรอก สิ่งที่เขารู้ได้มันก็เป็นลาภโลกธรรม ๘ มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะศาสนาแรกของโลกคือศาสนาถือผี จิตวิญญาณมันก็คือผี แล้วจิตวิญญาณมันก็อยู่ที่วาระไง วาระที่เราเกิดมาเราไปเจอสิ่งใด
แต่ถ้ามีวาสนา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วเราจะพยายาม ถ้ามีอำนาจวาสนา เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ในวัฏฏะนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่ง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะธรรมมันอยู่ที่หัวใจไง ธรรมสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณของบุคคล ด้วยใจของมนุษย์ ด้วยใจของเทวดา ดวงใจของอินทร์ของพรหมที่ประพฤติปฏิบัติฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เทวดา อินทร์ พรหมก็เป็นพระอรหันต์ได้
เราเป็นมนุษย์ๆ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าได้ทำลาย ชำระสะสางปราบปรามกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าถึงได้ชี้หน้ามาร แล้วอบรมบ่มเพาะให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น แล้วถ้าในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านประสบความสำเร็จแล้วท่านถึงชี้ถูกชี้ผิดได้ชัดเจน แล้วเวลาเพชรน้ำหนึ่งๆ ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันทำไมหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงหลวงปู่ขาวล่ะ พูดถึงหลวงตาพระมหา-บัวดีทั้งนอกดีทั้งใน นอก นอกคือข้อวัตรปฏิบัติ นอกคือสิ่งที่เป็นสังคมที่จะเป็นแบบอย่าง
ใน ดีทั้งนอก ดีทั้งใน ในเพราะว่าหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว หลวงตาพระมหาบัวท่านกำลังประพฤติปฏิบัติของท่านด้วยความเข้มข้นของท่าน แล้วถ้าเข้มข้นของท่าน ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง กิเลสคือคู่เจรจา แล้วถ้าเขาเห็นกิเลสของเขาเขาได้เจรจาของเขา แล้วเจรจาแล้วเจรจาด้วยกำลัง เจรจาด้วยความสามารถเจรจาด้วยสติด้วยปัญญาของตน ชนะหรือแพ้ล่ะ
ถ้ามันชนะ เวลาสิ้นสุด ชนะก็ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะว่ากิเลสมันแก่นกิเลสมันไม่ยอมสิ่งใดง่ายๆ หรอก เพราะว่าเจ้าวัฏจักรมันต้องครอบครองสมบัติของมันอยู่แล้ว เวลาเจรจาแล้วเจรจาเล่า เวลาถึงที่สุดมันสรุปมันขาด นิโรธ ขณะจิต ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจเป็นบุคคลคู่ที่ ๑ ถ้าบุคคลคู่ที่ ๑พาดกระแส ถ้าพาดกระแสแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลแน่นอน
แต่หลวงตาพระมหาบัวท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วท่านขึ้นไปรายงานถึงผลปฏิบัติของท่าน เวลาติดสมาธิท่านก็ดึงออกมา เวลาติดสมาธิ ๕ ปี หากิเลสไม่เจอเวลาติดสมาธิ ๕ ปี กิเลสคือคู่เจรจา ไม่มีคู่เจรจาคิดว่ามันจบไง หลวงปู่มั่นท่านก็ดึงออกมา ดึงออกมา มันก็เห็นกิเลส เห็นอสุภะอสุภัง เห็นคู่เจรจา แล้วเจรจาด้วยมหาสติ มหาปัญญาซะด้วยนะ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าจนถึงที่สุดไง เวลามันสมุจเฉทปหาน ขณะมันขาด รายงานหลวงปู่มั่นหมดล่ะ
แล้วหลวงปู่มั่นท่านรู้ว่า ถ้าใครพาดกระแสเป็นพระโสดาบันแล้วเขาต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์แน่นอน ต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน หลวงตาพระมหาบัวก็เหมือนกันเวลาท่านผ่านคู่ที่ ๓ ฉะนั้น ท่านต้องเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลแน่นอน ถึงบอกว่าดีทั้งนอกและดีทั้งในไง ทำไมหลวงปู่มั่นท่านสั่งเสียไว้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ความเป็นธรรม “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันอยู่กับใคร ธรรมมันอยู่ที่ไหน เวลาธรรมที่มันอยู่ในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านมีอำนาจวาสนา ท่านก็ต้องขวนขวายขึ้นไป
เพราะเราไม่รู้ กิเลสคือคู่เจรจา แล้วไม่มีสิทธิ์ได้เจรจากับมันเลย เพราะไม่เห็น มีแต่มันเหยียบย่ำทำลาย เหยียบย่ำทำลายนะ ถ้าไม่เหยียบย่ำทำลาย ชีวิตในสมณเพศมันต้องตลอดรอดฝั่ง ชีวิตในสมณเพศถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าซื่อสัตย์เพื่อให้ภพชาติมันสั้นเข้า เพราะมันอยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนา ขิปปา-ภิญญาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย คนที่ปฏิบัติแล้วเขาเข้าใจของเขา เขาทำของเขาโดยสัจจะโดยความจริงของเขา
กิเลสคือคู่เจรจา เขาได้เห็นกิเลส เขาได้เจรจาด้วยวิปัสสนาญาณ จกฺขํุ อุทปาทิ จักขุญาณเกิดขึ้นจากหัวใจจากจิตไม่ใช่จากดวงตา ดวงตามันเห็นของมันเวลาผู้ที่พิจารณาในทางจงกรม ในการประพฤติปฏิบัติเขาก็พิจารณาจากหัวใจของเขา เวลามันสมุจเฉทปหาน เวลามันชำระล้างกันมันก็ไปชำระล้างในหัวใจของเขา ชัยภูมิในการประพฤติปฏิบัติคือสมถกรรมฐาน คือภวาสวะ คือภพ คือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลาสมุจเฉทปหาน เห็นไหม ดั่งแขนขาด ตัดแขน ตัดขากิเลสโดยข้อเท็จจริง ตัดแขน ตัดขาของมัน จนตัดหัวมัน ตัดหัวคือทำลายภวาสวะ ทำลายภพทำลายชาติ ตัดแขน ตัดขา ตัดหัว แทงหัวใจมันอย่างนี้นี่คู่เจรจา ถ้าการเจรจาโดยสัจจะโดยความจริง โดยมรรค โดยผล โดยการกระทำ โดยสัมมาทิฏฐิ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาจะต้องชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนๆ มรรค ๔ ผล๔ ในสัจจะในความจริงในการประพฤติปฏิบัติไง นี่พูดถึงว่ากิเลสคือคู่เจรจา
ปฏิบัติไม่เป็น มันไม่เคยรู้และไม่เคยเห็น แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติโสดาบันฆ่าหลานมัน ถ้าสกิทาคามีฆ่าลูกมัน พระอนาคามีฆ่าพ่อมัน คือความโลภความโกรธ ความหลง กองทัพใหญ่ เวลาทำลายอวิชชาฆ่าปู่มัน ครอบครัวของมารไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วเวลาการฆ่าการทำลายแต่ละภพแต่ละชาติ นี่กิเลสคือคู่เจรจานะ ถ้าจับต้องได้เห็นได้ตามความเป็นจริงมันถึงจะได้เจรจาได้เจรจาคือวิปัสสนาญาณ
วิปัสสนา เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ มันพิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาเวลาเป็นสติ เป็นมหาสติ มหาปัญญา มันมหัศจรรย์ของมัน มันพิจารณาของมันเวลามรรคมันเคลื่อน มรรคมันหมุนของมันไป เห็นไหม นี่มรรคนะ เจรจาด้วยอย่างนี้ เจรจาด้วยภาวนามยปัญญา แล้วกิเลสมันหลบ มันซ่อน มันพลิก มันแพลงนี่กิเลสชัดๆ
แล้วเวลาพ่ายแพ้ หลวงตาพระมหาบัวท่านอดอาหาร ท่านผ่อนอาหารจะสู้กับกิเลสไง กำหนดกำลังของตนว่าพอจะบิณฑบาตได้ ลงมาบิณฑบาต ไปบิณฑบาตเดินไม่ไหว พระหนุ่มๆ นะ นั่งลงนะ นั่งลงแล้วทุกข์ เวลาปฏิบัติมันทุกข์ทั้งกายและใจ ทุกข์ทั้งกาย กายอดนอนผ่อนอาหาร ทุกข์ทั้งใจน้ำตาไหล ท่านพูดเองว่าน้ำตาไหล “อู้! กิเลสมึงเอากูขนาดนี้นะ วันใดถ้ากูมีกำลังขึ้นมา กูจะไม่ไว้หน้ามึงเลย” แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้
เวลาคนที่มีอำนาจวาสนาเขากลัวไหม เขายอมแพ้ไหม เขาถอยกรูดๆ ไหมเพราะอะไร เพราะเขาสร้างมา ในประวัติหลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่ลีท่านพูดไว้“ท่านสร้างมามากมายมหาศาล” นี่ไง ความเป็นพระอรหันต์มันต้องแสนกัป เขาได้สร้างบุญสร้างกุศลของเขามา จิตใจเขาเข้มแข็ง จิตใจของเขา สัจจะในใจของเขา นี่มาตรฐาน มาตรฐานความคิด มาตรฐานการดำรงชีวิต มีมาตรฐาน ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เหลวไหล ไม่จับกบจับเขียด ไม่ทำลายใคร ปรารถนาทำลายกิเลส แล้วพยายามนะ เจาะจง รอบคอบ เพื่อจะค้นคว้าหาให้เจอ
ถ้าค้นคว้าหาเจอ นี่ไง หลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์บ่อยมาก “งานในการประพฤติปฏิบัติมีทั้งการขุดคุ้ย การประหัตประหาร การขุดคุ้ยคือหาคู่เจรจาให้เจอ แล้วคู่เจรจามันพลิกมันแพลง มันหลบมันหลีก มันปลิ้นมันปล้อน ร้ายกาจนักกิเลสคือคู่เจรจา”
แต่ปฏิบัติเหลวไหลจับกบจับเขียด มันไม่เห็นกิเลสเลย แล้วไม่รู้จักกิเลสทำความสงบของใจยังไม่เป็น แล้วทำความสงบของใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวเจริญเดี๋ยวก็เสื่อม เวลาเจริญขึ้นมาก็คิดว่าตัวเองมีคุณค่ามีราคา มีความสามารถ เวลามันเสื่อมไป สัญญาทั้งนั้น จำของเก่าๆ ไว้ แต่ความดีที่จะเพิ่มเติมขึ้นไปไม่มี มันก็เลยจับกบจับเขียดอยู่อย่างนั้นไง
นี่ไง การประพฤติปฏิบัติไง กิเลสคือคู่เจรจา หากิเลสให้พบ คือการขุดคุ้ยค้นคว้าหา แล้วเวลาเจรจาแล้ว โอ้ย! มันยังยืดยาวนัก ในทางการทูต ถ้าประเทศไหนด้อยค่า ไม่มีกำลัง ไม่มีกองทัพ เขาตบหัวเล่นเลย ทรัพยากรเขากำหนดชี้เอาหมด คู่เจรจาทางการทูตมันยิ่งเป็นเหยื่อ
แล้วเจรจากิเลสนะ มันกะล่อนกว่าเยอะเลย ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้ายกับกิเลสในใจของคน เราเป็นคนดี เราเป็นคนที่มีสติปัญญามันก็ปลิ้นปล้อนบอกว่าเป็นธรรมะมันขอร่วมด้วย เราจะทำสิ่งใดสมุทัยเจือปนมาตลอด อนุสัยอยู่กับใจของคน ไม่เห็นกิเลส กิเลสเป็นเนื้อเดียวกับหัวใจ กิเลสเป็นเจ้าวัฏจักร ครอบงำภวาสวะครอบงำภพ ครอบงำจิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอวัง